สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้งจากกรณีปัญหาความขัดแย้งใน “เมียนมา” ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุคาร์บอมบ์ใกล้ชายแดนไทย เหตุวางระเบิดเรือนจำอินเส่ง ในนครย่างกุ้ง หรือปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มชาติพันธุ์หลายครั้ง ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์เครื่องบินรบมิค-29 ล่วงล้ำน่านฟ้าไทย สาดกระสุนใส่ที่มั่นกะเหรี่ยง และเหตุทิ้งระเบิดงานฉลองกองกำลังอิสรภาพคะฉิ่นที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 50 ศพจนเป็นที่มาของการออกแอ็กชัน ชาติสมาชิกสมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ “อาเซียน” จัดการประชุมรอบพิเศษที่อินโดนีเซีย กระตุ้นให้เริ่มกระบวนการสร้างสันติภาพตามแผนปฏิบัติ 5 ข้อ ที่ชาติสมาชิกและรัฐบาลทหารเมียนมาร่วมรับรองแบบฉันทามติไว้เมื่อเดือน เม.ย.2564 หรือผ่านมาแล้วถึง 1 ปี 6 เดือน โดยแผน 5 ข้อนั้น ประกอบไปด้วยรายละเอียดดังนี้ 1.ทุกฝ่ายควรใช้ความอดทนอดกลั้นและยุติความรุนแรงโดยทันที 2.การเจรจาอย่างสร้างสรรค์โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรเริ่มขึ้น เพื่อหาทางออกอย่างสันติและเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน 3.ทูตพิเศษจากประเทศประธานหมุนเวียนอาเซียน (กัมพูชา) จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยกระบวนการเจรจาและจักได้รับการสนับสนุนจากเลขาธิการอาเซียน 4.อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาผ่านศูนย์ประสานงานเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (AHA) และ 5.ทูตพิเศษอาเซียนจะเดินทางเยือนเมียนมา เพื่อหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องการที่อาเซียน “คัมแบ็ก” กลับมาถามหาสันติภาพในเมียนมา นอกจากจะเป็นการแสดงความเป็น “เอกภาพ” แล้ว ยังถือเป็นการโชว์ความเป็น “มาตรฐานสากล” ไม่ สนับสนุนการใช้ความรุนแรงไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ แต่ก็ทำให้เกิดคำถามเช่นกันว่า เป็นความพยายามลดแรงกดดันจาก “ภายนอก” หรือไม่หลังเริ่มที่จะมีสัญญาณจากประชาคมโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯและชาติตะวันตก ว่าอาจจะต้องดำเนินการอะไรบางอย่าง เพื่อกดดันรัฐบาลทหารเมียนมา บางประเทศมีการตั้งคำถามกับสื่อมวลชนว่า ทำไมถึงปล่อยให้สถานการณ์คาราคาซัง เป็นไปได้หรือไม่ที่อาเซียนหรือ “ประเทศไทย” จะใช้ความสัมพันธ์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน หรือความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพบีบให้เมียนมาเข้ารูปเข้ารอยช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มรายชื่อนักธุรกิจเมียนมาลงในบัญชีคว่ำบาตร เนื่องจากจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพเมียนมา ขณะที่รัฐบาลอังกฤษก็เสนอร่างมติต่อคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติว่าจำเป็นต้องยุติความรุนแรงทั้งหมดและปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขัง หาไม่แล้วก็สมควรที่จะต้องดำเนินการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อเมียนมาเพิ่มเติม เช่นเดียวกับฝ่ายสิทธิมนุษยชน “สห ประชาชาติ” ที่โหนกระแสการจัดระเบียบโลกใหม่โดยเสนอแนะว่า ควรหรือไม่ที่จะมี การตั้งเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติแบบเดียวกับที่กำลังให้ความช่วยเหลือรัฐบาล “ยูเครน” และเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ที่นานาชาติควรคว่ำบาตรกองทัพเมียนมาและระงับการขายอาวุธให้กองทัพเมียนมาเพราะอาวุธที่ถูกนำมาใช้งานก็เป็นอาวุธจากแหล่งเดียวที่ถูกนำมาใช้สังหารประชาชนในยูเครนทั้งนี้ ประเทศเมียนมาเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความวุ่นวาย นับตั้งแต่เหตุการณ์ “รัฐประหาร” เมื่อเดือน ก.พ.2564 หลังประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่พยายามลุกฮือประท้วงและก่อจลาจลทั่วประเทศ หวังขับไล่รัฐบาลทหารและ “พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย” ผู้นำกองทัพทัดมาดอว์ กระนั้น การเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกปราบปรามอย่างหนัก จนทำให้กองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆต้องออกมาต่อต้าน เพื่อป้องกันการถูก “อำนาจจากส่วนกลาง” ฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย เข้ายึดครองผลประโยชน์ที่กลุ่มต่างๆเคยถือครองมาตลอดสำหรับชาติอาเซียนซึ่งมีความเข้าใจการเมืองเมียนมามากกว่า “คนนอกภูมิภาค” ย่อมทราบดีถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ครั้งนี้หรือครั้งก่อนๆที่มีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นยุคของผู้นำทหาร “พล.อ.เตง เส่ง” หรือ “พล.อ.ตาน ฉ่วย” ทำให้หลายต่อหลายหนต้องแสดงบทบาท “อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ” ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการของอาเซียน เรื่องการ “ไม่แทรกแซง” กิจการภายในของกันและกัน อย่างที่เห็นมาตลอดว่า ไม่ว่า การเมืองใครจะมีปัญหา เกิดความวุ่นวายแค่ไหน คนที่เหลือก็จะนั่งรอ คอยเวลาให้ลมสงบไปเองอย่างไรก็ตาม อาเซียนก็จำเป็นต้องพยายามสร้างสมดุลในเวทีสากลด้วยเช่นกัน ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองโลกที่แบ่งข้างกันอย่างชัดเจนระหว่างโลกตะวันตก-ตะวันออก และการเผชิญหน้าของมหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” และ “จีน” ที่ฝ่ายหนึ่งเคยเป็นลูกพี่ใหญ่ครองอิทธิพลในอาเซียนมาตั้งแต่ยุคต้านคอมมิวนิสต์และอีกฝ่ายหนึ่งก็กำลังกลับมาแผ่ขยายอิทธิพลในภูมิภาคเฉกเช่นครั้งโบราณกาลเป็นไปได้หรือไม่ว่า ฝ่ายที่อยากให้แทรกแซง ณ เพลานี้กำลังเสียงดัง จึงทำให้อาเซียนต้องออกมารับลูกเล่นไปตามบท ย่อมจะดีกว่าการถูกหางเลขไปด้วยแบบไม่ทันตั้งตัว.วีรพจน์ อินทรพันธ์