นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมดินดอนปากแม่น้ำเนวาของรัสเซีย ทางด้านเหนือของอ่าวฟินแลนด์ ความเป็นเมืองหลวงเก่ามีประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองอย่างมาก ปัจจุบันนครแห่งนี้จึงอุดมด้วยแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะปราสาทราชวังอันใหญ่โตโอฬาร งามราวดั่งเทพนิยาย สมกับฉายา “ราชินีแห่งยุโรปเหนือ”หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ต้องปักหมุดหากได้ไปเยี่ยมเยือนเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก็คือ “พระราชวังฤดูหนาว” หรือที่เรียกกันว่า “เฮอร์มิทาจ” (Hermitage) ซึ่งด้านหนึ่งจะมองเห็นความงามของแม่น้ำเนวา ขณะอีกด้านประจันหน้ากับลานกว้างพาเลซ สแควร์ ส่วนสารพันวัตถุโบราณล้ำค่า งานศิลปะเก่าแก่มหาศาลกว่า 3 ชิ้นเป็นที่เลื่องลือนั้น เอาเป็นว่าเดินละเลียดชมวันเดียวก็ไม่มีทางหมดแต่อีกสิ่งที่ถูกกล่าวขานไปทั่วโลกก็คือบรรดา “แมว” ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยพิทักษ์พระราชวังงามแห่งนี้ ซึ่งจะมีแค่ปีละครั้งเท่านั้นที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจจะเปิดห้องใต้ดินเชิญชวนให้ผู้มาท่องเที่ยวได้ทำความคุ้นเคยกับเจ้าเหมียวที่อาศัยอยู่ที่นั่น โดยจะเปิด 2 วันในปลายเดือน พ.ค. ถึงต้นเดือน มิ.ย. ช่วงเวลานี้ถูกยกให้เป็นวัน “Cat Day” ของนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อรำลึกถึงแมวในยุคก่อนโน้นที่ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์การปกป้องวัตถุล้ำค่าจากหนูที่เข้ามาก่อกวนทำลายวัตถุล้ำค่าในพระราชวังฤดูหนาวส่วนที่ว่าแมวมาจากไหน มีข้อมูลเผยว่าแม้จะเคยมีการเลี้ยงแมวเพื่อปราบหนูจอมแทะของในวัง แต่คำสั่งให้เอามาเลี้ยงอย่างเป็นทางการคือ ในรัชสมัยของจักรพรรดินีเอลิซาเบธแห่งรัสเซีย ในปี ค.ศ.1745 พระนางทรงออกคำสั่งให้เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กรับแมวตัวใหญ่น่าเกรงขาม 37 ตัวจากเมืองคาซาน มาทำหน้าที่ปกป้องห้องใต้ดินระหว่างที่รัสเซียทำสงครามกับกองทัพนโปเลียนของฝรั่งเศส จนล่วงเลยมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงเมืองเลนินกราดที่เป็นชื่อของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในเวลานั้นได้ถูกปิดล้อม แมวก็หายไปจากเมืองโดยสมบูรณ์ เมื่อแมวไม่อยู่ หนูก็บุกเมือง ซึ่งไม่ใช่แค่งานศิลปะของเฮอร์มิทาจที่ตกอยู่ในอันตราย แต่ชีวิตของชาวประชาก็เช่นกัน เพราะหนูเป็นพาหะนำโรคร้ายดังนั้น ทางการจึงรับแมวไซบีเรียน 5,000 ตัว มาเติมในเมืองเลนินกราดในปีค.ศ.1943...บางทีลูกหลานของเจ้าแมวไซบีเรียนก็อาจสืบทอดรับใช้พิพิธภัณฑ์มาจนถึงทุกวันนี้.ภัค เศารยะ