ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ ต่างออกมาประกาศเป็นเสียงเดียวกันว่า คงเป็นการยากแล้วที่เราจะรอดพ้นจากเชื้อโควิด-19 ตัวกลายพันธุ์ “โอมิครอน”ประชากรยุโรปราวครึ่งหนึ่งจะต้องติดเชื้อกันหมดภายในเวลาประมาณ 2 เดือน เช่นเดียวกับประชากรเกือบทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา ที่จะต้องพานพบกับไวรัสไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งการประเมินสถานการณ์ไว้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ดูจากตัวเลข 7 วันแรกของปี 2565 ยุโรปพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ล้านคน อเมริกาพบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละกว่า 780,000 คน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 98 เปอร์เซ็นต์ในสหรัฐฯ ถูกตรวจพบว่าเป็นโอมิครอนทั้งสิ้นองค์การอนามัยโลก (WHO) เคยย้ำว่าความรุนแรงของโอมิครอนต่ำกว่าเชื้อกลายพันธุ์ “เดลตา” แต่ก็ไม่ควรเรียกว่าเป็น “เชื้อเบา” ยังคงเป็นโควิด-19 อยู่ดี และเมื่อมันระบาดได้รวดเร็วมาก มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากแล้ว สัดส่วนผู้ที่แสดงอาการป่วยหรือเข้าโรงพยาบาลก็ย่อมมากขึ้นตามๆกันทั้งหมด จึงกลับมาเรื่องสำคัญว่า แล้วจะยังไงกันต่อไป? เพราะเป็นที่ชัดเจนว่ามาตรการของรัฐบาลประเทศต่างๆ เริ่มจะเป็นแนวทางเดียวกัน คือต้องการจะอยู่ร่วมกับไวรัสให้ได้ พร้อมมีความคาดหวังว่าโอมิครอนจะไม่ต่างกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป มีคนติดกันเรื่อยๆแต่ก็มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตต่ำ เนื่องจากคนส่วนใหญ่มีวัคซีนป้องกันในระดับหนึ่งแล้ว บางคนได้รับบูสเตอร์โดสเป็นเข็มที่ 3 และเข็มที่ 4 กันแล้วสุดท้ายก็คือต้องยอมติดเชื้อกันให้หมดใช่หรือไม่ ยังคงหวังที่จะทำทฤษฎี “ภูมิคุ้มกัน หมู่” ให้เป็นจริง ด้วยการมาของเชื้อโอมิครอนใช่หรือไม่?เป็นที่น่าสนใจว่า คำถามนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบกันได้อย่างชัดเจนนัก ดูจาก “สหรัฐ อเมริกา” ประเทศที่ดูมีความพร้อมจะอยู่ร่วมกับไวรัสโควิด-19 มาตั้งแต่ต้น แต่บัดนี้ก็เหมือนชักไม่มั่นใจ และเริ่มที่จะเห็นปัญหาของการปล่อยฟรี ติดได้ติดไป ขอแค่มีคนฉีดวัคซีนกันมากพอจากรายงานข่าวสรุปสถานการณ์เมื่อช่วงปลายสัปดาห์พบว่า ปัญหาได้เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆในหลายภาคส่วนสังคม และแม้ว่าโอมิครอนจะมีความรุนแรงน้อยกว่า แต่เอาเข้าจริงแล้วด้วยปริมาณการแพร่กระจายของมัน จึงทำให้สถานการณ์ไม่ต่างอะไรกับช่วงการระบาดโควิด-19 ตัวแรกเริ่ม โดยเรื่องสำคัญประการแรก วงการบุคลากรการแพทย์ สถานพยาบาล สถานรับเลี้ยงคนชรา กลับมาระส่ำระสายกันอีกครั้ง เนื่องด้วย “กำลังคน” ไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่จำนวนมากติดเชื้อกันในอัตราเร่ง ต่างพากันปฏิบัติตามมาตรการ “กักบริเวณตัวเอง” จนไม่มีทางสลับเวรทัน คนที่เหลืออยู่ต้องแบกรับหน้าที่ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด “ถึงโรงพยาบาลจะเตียงว่าง แต่ในเมื่อไม่มีแพทย์พยาบาลมาดูแล ว่างไปก็ไร้ประโยชน์ ดูแลคนไข้ไม่ได้อยู่ดี” จนสุดท้ายผู้บริหารโรงพยาบาลบางแห่ง ไม่ว่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย อริโซนา ได้ผุดไอเดีย “ติดเชื้อก็ไม่เป็นไร” หากไม่แสดงอาการป่วย หรือมีอาการเบาบางก็ขอให้ทำงานไปตามปกติประการต่อมา บริษัทเอกชนต่างๆ กำลังทยอยประสบปัญหา “ขาดพนักงาน” แบบเดียวกัน ลูกจ้างต้องกักบริเวณตัวเองตามมาตรการป้องกันเชื้อ ที่ย่อมกระทบต่อไปเป็นทอดๆ กำลังผลิตสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค กระบวนการขนส่งโลจิสติกส์ล่าช้า ขาดคนขับรถส่งของ (ไม่รวมถึงน้ำมันโลกราคาแพง จากปัญหากำลังการผลิตของชาติส่งออกน้ำมันรายใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้า) และทั้งหมดทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็จะวนย้อนกลับมาที่ลูกจ้างต้องการค่าแรงเพิ่ม ปฏิเสธงานที่ค่าจ้างไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น และทำให้บริษัทหาคนมาทำงานไม่ได้ ตอกย้ำปัญหาเข้าไปอีกประการที่สาม ระบบการศึกษา การเรียนการสอนปั่นป่วนเช่นเดิม โดยจากข้อมูลทางการสหรัฐฯ พบว่า การแพร่ระบาดของโอมิครอน ได้ส่งผลให้เด็กติดเชื้อกันเป็นจำนวนมาก ต้องเรียนๆหยุดๆกันเป็นว่าเล่น ไม่รวมถึงกลุ่มเด็กเล็ก ที่ยังไม่เข้าข่ายรับการฉีดวัคซีน ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลในอัตราเฉลี่ยวันละกว่า 600 คน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งต้องแอดมิตเข้าห้องฉุกเฉินไอซียูดูอาการ มีเด็กหลายร้อยคนต่อวันต้องใช้เครื่องช่วยหายใจช่วยเหลือ แน่นอนกรณีที่ว่ามานี้ย่อมกระทบต่อพัฒนาของในวัยเด็กอย่างรุนแรง ซึ่งเด็กก็คือผู้ที่จะมาเป็นอนาคตของประเทศต่อไปทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นวังวนที่ไม่รู้จบ หาทางออกไม่เจอ จนกว่าตัวไวรัสเอง จะกลายพันธุ์ไปในลักษณะที่ “เบาบาง” ยิ่งกว่าโอมิครอน และสามารถทำให้ทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันได้อย่างสบายใจว่า ไม่ต้องใช้มาตรการ “กักตัว” อีกต่อไป คิดเสียว่าเป็น “ไข้หวัด” ที่รุนแรงตัวหนึ่ง เหมือนกับไข้หวัดใหญ่อินฟลูเอนซาทั้งหลาย ที่กลายพันธุ์และระบาดต่อเนื่องมาเป็นร้อยปี มีผู้เสียชีวิตต่อปีราว 291,000-646,000 คนดังนั้น หากยังไม่เข้าเงื่อนไขที่ว่านี้ ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ เชื่อมั่นว่าเอาอยู่ คุมได้ ตายน้อย จากการมองเพียงแง่มุมเดียวว่าโอมิครอนอาการไม่รุนแรง เพราะหากสถานการณ์สหรัฐฯ มาเกิดขึ้นกับประเทศไทย คงบอกได้คำเดียวว่าสาหัสครับ.วีรพจน์ อินทรพันธ์