สหรัฐฯกับรัสเซียเจรจากันที่เจนีวาเมื่อ 4 วันก่อน รัสเซียยืนยันว่าตนไม่มีแผนบุกอูเครน และขอร้องนาโตที่สหรัฐฯเป็นหัวขบวนหยุดขยายอิทธิพลไปทางตะวันออก สหรัฐฯบอกว่าไม่สามารถรับได้อูเครนเคยหนุนรัสเซียขาว (นิยมกษัตริย์) ในสงครามกลางเมืองรัสเซียระหว่าง ค.ศ.1918-1921 แต่พวกรัสเซียขาวแพ้ ภายหลังอูเครนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียต กระทั่งนายกอร์บาชอฟเป็นผู้นำโซเวียต แกเริ่มนโยบายปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยตามนโยบายกลาสนอตส์-เปเรสตรอยกา ตั้งแต่นั้นมา อูเครนก็เห็นแสงสว่างที่จะแยกประเทศ เริ่มจาก ค.ศ.1989 มีการใช้อูเครนเป็นภาษาราชการ ตามด้วยเรียกร้องให้ตรวจสอบหลักฐานเพื่อชำระประวัติศาสตร์ใหม่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอูเครนกับรัสเซียการจะแยกประเทศมักจะเริ่มต้นจากการเรียกร้องให้ใช้ภาษาท้องถิ่นและชำระประวัติศาสตร์ เมื่อได้ใช้ภาษาและประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องแล้ว การแยกประเทศก็จะตามมาได้ง่ายขึ้น เดือนมีนาคม ค.ศ.1990 มีการเลือกตั้งผู้แทนรัฐสภาอูเครนตามระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก นายเลโอนิด คราฟชุค คอมมิวนิสต์แนวปฏิรูปก็ยังได้รับเลือกเป็นประธานสภา และเมื่อแยกประเทศได้ใน ค.ศ.1991 นายคราฟชุคก็ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสหรัฐฯและตะวันตกเห็นโอกาสที่จะมีอิทธิพลต่ออูเครนเพื่อคุมรัสเซียในอนาคต ตอนเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 ผู้สมัครประธานาธิบดีทั้งสองคนต่างบอกว่า ถ้าชนะเลือกตั้งจะนำอูเครนใกล้ชิดกับตะวันตกรัสเซียกลัวอิทธิพลของสหรัฐฯและตะวันตกมาก เมื่อ ค.ศ.1994 จึงไปหนุนนายเลโอนิด คุชมา ให้สมัครประธานาธิบดีแข่งกับนายเลโอนิด คราฟชุค ปรากฏว่านายคุชมาชนะ เพราะคนตะวันออกและภาคใต้ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อชาติและใช้ภาษารัสเซียสนับสนุน เป็นประธานาธิบดีได้พักหนึ่ง คุชมาก็โดนกดดันจากตะวันตกจนต้องไปสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯอย่างลึกซึ้งช่วงนี้มีการให้โอกาสคนอูเครนกว่า 7 ล้านคนอพยพไปอยู่สหรัฐฯและแคนาดา โดยเฉพาะคนที่มีการศึกษาดีที่เป็นนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ คนอูเครนได้รับสัญชาติอเมริกันและแคนาดาต่างก็สนับสนุนให้อูเครนลดความสัมพันธ์กับรัสเซีย และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐฯและตะวันตกแทน รวมทั้งหนุนนายวิคเตอร์ ยูเชนโค ผอ.ธนาคารแห่งชาติอูเครนที่ประกาศตนอยู่กับสหรัฐฯและตะวันตกอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเป็นนายกรัฐมนตรี (โดยมีนายคุชมาเป็นประธานาธิบดี)นายยูเชนโคเป็นคนหนุ่มรูปหล่อ การศึกษาดี แถมมีใจให้สหรัฐฯ จึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มการเมืองผสมที่เรียกว่านาชายูเครยินาที่แปลว่าอูเครนของเรา การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ.2004 เป็นการแข่งกันระหว่างนายวิคเตอร์ ยานูโควิช (รัสเซียสนับสนุน) และนายวิคเตอร์ ยูเชนโค (สหรัฐฯและตะวันตกสนับสนุน) นายยูเชนโคได้เสียงสนับสนุนร้อยละ 39.87 ส่วนนายยานูโควิชได้ร้อยละ 39.32 จึงต้องมีการแข่งขันรอบที่ 2 รอบนี้รัสเซียทุ่มเต็มที่ ทำให้นายยานูโควิชชนะมีมือที่มองไม่เห็นเข้าไปหนุนให้คนอูเครนต่อต้านยานูโควิชและรัสเซียทั่วประเทศที่เราเรียกว่าการปฏิวัติสีส้ม ทำให้ศาลสูงตัดสินว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นครั้งที่ 3 คราวนี้นายยูเชนโคก็ได้คะแนนเสียงร้อยละ 52 และได้เป็นประธานาธิบดีหลังจากปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 23 มกราคม 2005 นายยูเชนโคก็เดินทางไปเยือนประเทศตะวันตก ภายหลัง ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย ได้รับชวนให้เข้าพบสนทนาเป็นการส่วนตัวกับนายยูเชนโคถึงประเด็นการเมืองและเรื่องอื่นๆหลังจากพบนายยูเชนโคและผู้คนหลายส่วนของอูเครนแล้ว เราก็จึงเข้าใจว่า มีทางเดียวที่อูเครนจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจคือการที่อูเครนได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปและนาโต แม้ปัจจุบัน อูเครนยังไม่สำเร็จในการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและนาโต แต่ความพยายามนั้นก็ยังอยู่ ทำให้รัสเซียกังวลและพูดคุยกับสหรัฐฯในประเด็นนี้บ่อยๆ จนถึงปัจจุบัน.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com