นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ตะโกนก้องร้องว่า “ประชาชนคนคาซัคออกมาประท้วงเผาบ้านเผาเมืองเพราะท่านเหล่านั้นเดือดร้อนเรื่องราคาค่าเชื้อเพลิง นี่มันเป็นเรื่องภายในของคาซัคสถานแท้ๆ ตำรวจทหารและรัฐบาลคาซัคมีศักยภาพในการจัดการวิกฤติของตนเองอยู่แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลคาซัคของประธานาธิบดีฆาเซิม-โฌมาร์ต โตกาเยฟ ต้องไปร้องแรกแหกกระเชอ ขอความช่วยเหลือจากภายนอก”คำว่า ‘ภายนอก’ ของนายบลิงเคนก็คือกองทัพรัสเซีย นอกจากนั้น นายบลิงเคนยังเรียกร้องให้องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (ซีเอสทีโอ) เคารพสิทธิของผู้ประท้วง และให้องค์การฯ ปฏิบัติตามกฎหมาย สหรัฐฯขอยืนยันว่าการประท้วงเผาบ้านเผาเมืองลามปามไปทั้งคาซัคสถานครั้งนี้ สหรัฐฯไม่เกี่ยวดองหนองยุ่งด้วย แต่สหรัฐฯอยากจะขอเตือนรัฐบาลคาซัคในเรื่องที่ให้กองทหารรัสเซียเข้ามารักษาความสงบ ซึ่งเมื่อพวกนี้เข้ามาแล้ว ก็เป็นการยากที่จะให้ออกไปองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน หรือ Collective Security Treaty Organization (CSTO) ตั้งเมื่อ พ.ศ.2535 ปัจจุบันมีสมาชิก 6 ประเทศ คือ อาร์เมเนีย เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซ รัสเซีย และทาจิกิสถาน แต่ก่อนเคยมีอาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย และอุซเบกิสถานเป็นสมาชิกร่วมด้วย แต่ก็ไม่ทราบว่าเหตุผลกลใด ทั้ง 3 ประเทศจึงลาออกไปเมื่อ พ.ศ.2542 พอเห็นท่าไม่ดี อุซเบกิสถานก็กลับเข้ามาเป็นสมาชิกอีกครั้งเมื่อ พ.ศ.2549 แต่ก็ลาออกไปอีกเมื่อ พ.ศ.2555องค์กรนี้ชัดเจนครับ ว่าตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพันธมิตรทางการทหาร ซึ่งก็คล้ายกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต ที่มีสมาชิก 30 ประเทศ แล้วก็ประกาศว่าพวกตนเป็นพันธมิตรทางการทหารในเขตยุโรป เขตแอตแลนติก และเขตช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือตอนใต้นายบลิงเคนโผล่หน้าไปก้าวก่ายกิจการขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน ก็เลยโดนกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์โต้ตอบว่า พวกตนได้รับบทเรียนทางประวัติศาสตร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งประโยคนี้หมายถึง พวกตนรู้ว่าสหรัฐฯเข้ามาก่อความวุ่นวายขายปลาช่อน และทำให้เกิดการจลาจลในภูมิภาคนี้มาหลายครั้งหลายรอบ“ส่วนเรื่องการส่งทหารเข้าไปในประเทศใดประเทศหนึ่ง สหรัฐฯน่าจะมีประสบการณ์มากกว่า และสหรัฐฯน่าจะรู้ว่า การไม่ได้รับการต้อนรับนั้นเป็นอย่างไร” ประโยคในแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียด่านายบลิงเคนโดยทางอ้อมด้วยภาษาสุภาพว่า เอ็งนั่นแหละที่ชอบส่งทหารไปยุ่มย่าม โดยที่เจ้าของประเทศเขาไม่ได้ขอร้องให้ส่งเข้าไป ผิดกับกรณีของรัสเซีย ซึ่งรัฐบาลคาซัคของประธานาธิบดีโตกาเยฟเป็นฝ่ายขอร้องให้ทหารรัสเซียเข้าไปเองขณะที่ผมเขียนคอลัมน์รับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพอยู่นี้ ทั้งฝ่ายประท้วงและเจ้าหน้าที่รัฐบาลฝ่ายความมั่นคงตายไปเกือบ 50 คนแล้ว จับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้อีกมากมายหลายพัน ประธานาธิบดีโตกาเยฟแกก็เด็ดขาดคล้ายๆ ปูติน แกประกาศว่าจะไม่เจรจากับพวกไหนฝ่ายใดทั้งสิ้น และให้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยิงผู้ประท้วงได้ทันที “ผู้ก่อการร้ายยังคงทำลายทรัพย์สินและใช้อาวุธกับพลเรือน ผมมีคำสั่งเจ้าหน้าที่ให้ฆ่าได้ทันที โดยไม่ต้องเตือนล่วงหน้า”“...เรากำลังเผชิญกับพวกโจรติดอาวุธที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งจากในประเทศและจากนอกประเทศ ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้จะต้องโดนเรากำจัดทิ้ง...” มีผู้นำหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯและตะวันตกตะโกนก้องร้องว่า อ้า ขอให้รัฐบาลคาซัคเปิดเจรจากับผู้ประท้วง ประธานาธิบดีโตกาเยฟตอบกลับพวกผู้นำตะวันตกเหล่านั้นว่า “ไร้สาระ”รัสเซียและจีนมองตากันก็รู้ว่ามีมือที่มองไม่เห็นจากพวกไหน ชาติใด เข้ามาวางแผนและปั่นป่วน ปกติประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะไม่วิจารณ์กิจการภายในของประเทศอื่น แต่ครั้งนี้ นายสีออกมากล่าวชื่นชมประธานาธิบดีโตกาเยฟที่ใช้มาตรการเด็ดขาดจัดการพวกที่ก่อความวุ่นวาย.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com