นานนับ 30 ปีแล้วที่ อาบู อาลี หนุ่มใหญ่วัย 57 ปี ชาวเลบานอน ยึดอาชีพเกษตรกรปลูกมันฝรั่งเลี้ยงดูครอบครัวที่เมืองบาลเบ็ค ฝั่งตะวันออกของประเทศ แหล่งปลูกพืชผิดกฎหมายแต่ด้วยปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และมีแต่ทรุดและทรุด ผนวกกับการระบาดของโควิด-19 ค่าเงินหล่นฮวบ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงจนอาลีจำต้องผันพื้นที่เกษตรของตัวเองไปปลูกกัญชาแทนเมื่อปี 2562 ต้นทุนลดลงมา 4 เท่า เพราะใช้น้ำใช้ปุ๋ยน้อยกว่า แต่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำครั้งแรกในรอบหลายปี“ตัวผมเองก็ไม่ได้ชอบกัญชาหรอกนะ แต่แบกรับต้นทุนค่าใช้จ่าย เชื้อเพลิงที่ต้องนำเข้ามา เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงอีกจิปาถะที่ต้องจ่ายเป็นสกุลดอลลาร์ไม่ไหว”อาลีก็เหมือนเกษตรกรรายย่อยอีกหลายต่อหลายคนที่สิ้นหวังกับวิกฤติประเทศ จึงต้องปลูกต้นกัญชาแทน และก็มีเพื่อนของอาลีที่ต้องเป็นหนี้แบงก์ หรือกู้ยืมนอกระบบก็ต้องขายที่ดินเพื่อล้างหนี้ แต่อาลีไม่อยากประสบชะตากรรมเดียวกันอาลีใช้พื้นที่ 5 เอเคอร์ หรือราวๆ 12.65 ไร่ ปลูกต้นกัญชา สามารถเก็บเกี่ยวได้รอบละราว 100 กก. ขายในตลาดมืดได้ กก.ละเฉลี่ย 2 ล้านปอนด์เลบานอน หรือ 5 หมื่นบาทนิดๆ ซึ่งราคาอาจสูงได้อีกถึง 5 ล้านปอนด์เลบานอน หรือเป็นแสนบาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกัญชาและจนถึงขณะนี้ จากข้อมูลของสหประชา ชาติ (ยูเอ็น) เมื่อปีกลาย ชี้ว่า เลบานอนเป็นประเทศปลูกกัญชารายใหญ่อันดับ 4 ของโลกรองจากโมร็อกโก อัฟกานิสถาน และปากีสถาน เพราะมีพื้นที่ปลูกไม่น้อยกว่าแสนกว่าไร่ ทั้งที่กฎหมายในเลบานอนห้ามมีไว้ปลูกและบริโภคเมื่อปีที่แล้ว ส.ส.ในสภาก็โหวตลงมติเห็นด้วยที่จะให้ปลูกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่อส่งเสริมรายได้ให้กับภาครัฐ แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่นำไปปฏิบัติ ทั้งที่สามารถสร้างรายได้ถึงปีละ 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 11,300 ล้านบาท ก็เพราะรัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลเพื่อตรวจสอบในเชิงกฎหมาย ซึ่งเรื่องก็ยังล่าช้าเพราะรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอนด้านเสถียรภาพนี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนที่รู้เลยว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว...ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ