ในที่สุดแนวรบการต่อสู้กับไวรัสมรณะ “โควิด-19” ก็มาถึง “จุดเปลี่ยน” แล้ว หลังบริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำเริ่มกระบวนการส่งวัคซีนไปยังประเทศต่างๆ ท่ามกลางความคาดหวังของมวลมนุษยชาติว่า มหันตภัยครั้งนี้จะได้ผ่านพ้นไปเสียทีดังเสียงสะท้อนของคุณยายมาร์กาเร็ต คีแนน วัย 90 ปีจากประเทศอังกฤษ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสของบริษัท “ไฟเซอร์” ประเทศสหรัฐฯ พัฒนาร่วมกับ “ไบออนเทค” ประเทศเยอรมนี เป็นคนแรกของโลกเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ตามโครงการของชาติผู้ดี มอบยาให้แก่ผู้สูงอายุและบุคลากรการแพทย์เป็นอันดับแรก“ในสัปดาห์หน้า ดิฉันจะมีอายุครบ 91 ปีพอดี การได้รับวัคซีนครั้งนี้ถือเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าที่แสนวิเศษ เพราะหมายความว่าจะมีโอกาสใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูงช่วงเทศกาลปีใหม่ หลังต้องอยู่ตัวคนเดียว ทำอะไรคนเดียว โดดเดี่ยวมาตลอดปี”ขณะที่ “อินโดนีเซีย” เพื่อนบ้านอาเซียน ซึ่งกำลังอ่วมอรทัยจากสถานการณ์แพร่ระบาด ก็ได้รับวัคซีนต้านไวรัสของบริษัท “ซิโนแวค” ประเทศจีน ลอตแรก 1.2 ล้านโดส ตามด้วยลอตสองอีก 1.8 ล้านโดสในเดือน ม.ค. ไปจนถึงวัตถุดิบสำหรับการผลิตวัคซีนเอง โดยบริษัทไบโอ ฟาร์มา อินโดนีเซีย จำนวน 15 ล้านโดส ในเดือน ธ.ค. และอีก 30 ล้านโดส ในเดือน ม.ค. รวมทั้งหมดอิเหนาจะมีวัคซีนจีน 48 ล้านโดสส่วนประเทศไทยเราสั่งจองไว้ 26 ล้านโดสจากบริษัท “แอสตราเซเนกา” พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัย “ออกซ์ฟอร์ด” ประเทศอังกฤษ พร้อมมอบให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นผู้ผลิตวัคซีนรายเดียวสำหรับประเทศไทยและอาเซียนคาดส่งมอบวัคซีนชุดแรกได้กลางปี 2564แม้ว่าวัคซีนเหล่านี้ จะยังมีประสิทธิภาพไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ดูจากข้อมูลแล้วก็ถือว่าไม่แย่นัก เริ่มจากวัคซีนของ “ไฟเซอร์/ไบออนเทค” และบริษัท “โมเดอร์นา” ประเทศสหรัฐฯที่เป็นวัคซีนกระบวนการใหม่ ฉีดรหัสพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาเข้าไปในร่างกาย กระตุ้นให้เซลล์ของคนเราผลิตโปรตีนของไวรัสออกมา (เหมือนไวรัสแต่ไม่ใช่ไวรัส) เพื่อที่ระบบภูมิคุ้มกันจะได้ฝึกซ้อมปราบปราม ไม่ต้องงงเวลาเจอของจริงโดยทั้งสองยี่ห้อมีประสิทธิภาพ 95 เปอร์เซ็นต์ ไฟเซอร์ราคา 2 โดสอยู่ที่ราว 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,280 บาท โมเดอร์นาราคา 2 โดสอยู่ที่ราว 66 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,112 บาท แต่ที่เป็นประเด็นคือวัคซีนไฟเซอร์ ต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส ของโมเดอร์นาเก็บที่ -20 องศาเซลเซียส ยากต่อการจัดส่งได้สะดวก ยิ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานไม่แข็งแรงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขณะที่วัคซีนของ “แอสตราเซเนกา/ ออกซ์ฟอร์ด” และสถาบัน “กามาเลยา” ประเทศรัสเซียใช้วิธีเดียวกันคือนำไวรัสไข้หวัดทั่วไปมาดัดแปลงไม่ให้ขยายตัว จากนั้นจึงนำยีนในปุ่มโปรตีนของไวรัสโคโรนามาใส่เข้าไป (ไวรัสสวมไวรัส) ทีนี้เมื่อเข้าไปในตัวคนแล้ว เซลล์ของร่างกายก็จะสร้างปุ่มโปรตีนไวรัสโคโรนาขึ้นมา เปิดโอกาสให้ภูมิคุ้มกันของเรารู้จัก และพร้อมที่จะต่อสู้กับไวรัสของจริงจากข้อมูลพบประสิทธิภาพของออกซ์ฟอร์ด 70-90 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับขนาดของโดสที่ให้ แต่ราคาถูกมาก ปริมาณ 2 โดสราคาราว 8 ดอลลาร์ หรือประมาณ 256 บาท ส่วนของรัสเซียประสิทธิภาพ 92 เปอร์เซ็นต์ ราคา 2 โดสอยู่ที่ราว 20 ดอลลาร์ หรือประมาณ 640 บาท การเก็บรักษาวัคซีนทั้งสองยี่ห้อสามารถใช้ช่องฟรีซตู้เย็นปกติลดความยากลำบากในการขนส่งไปได้เยอะส่วนวัคซีนของ “ซิโนแวค” ใช้วิธีสร้างจากไวรัสโคโรนาที่ถูกฆ่าให้ตาย และนำอนุภาคของมันใส่เข้าไปในร่างกาย เพื่อให้ภูมิคุ้มกันตอบสนอง และรู้วิธีรับมือกับไวรัสโคโรนาในอนาคต ซึ่งจะเหมือนกับวัคซีนที่ผ่านๆมา อย่างวัคซีนโปลิโอ พิษสุนัขบ้า และไวรัสตับอักเสบเอ โดยประสิทธิภาพ (ที่ผลการทดสอบขั้นสุดท้ายยังไม่เสร็จ) อยู่ที่ 97 เปอร์เซ็นต์ เก็บรักษาในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส ราคา 2 โดสที่อินโดนีเซียผลิต อาจอยู่ที่ราว 27.20 ดอลลาร์ หรือประมาณ 870 บาทอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหลังจากข่าวดีเรื่องวัคซีนแพร่สะพัดออกไป ได้ทำให้คนปล่อยปละละเลยกันอีกแล้ว โดยภาพที่ปรากฏออกมาคือประชาชนในประเทศต่างๆได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยรับเทศกาลคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่กันอย่างสนุกมือ เหมือนลืมไปว่าไวรัสยังไม่หายไปไหน ขนาดศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ยังรีบเตือนว่าฤดูหนาวในช่วง 2-3 เดือนหน้า จะทำให้อเมริกาเผชิญกับวิกฤติทางการแพทย์ครั้งร้ายแรงที่สุดดังนั้น คงไม่ผิดสักเท่าไรนักที่จะบอกว่า เราอยู่รอดมานานขนาดนี้ อดทนกัดฟันปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยกันต่อไปสักนิดนึงครับ เพราะหากเชื้อลามในประเทศเมื่อไร ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะตามมาอีกหลายระลอก โดยไม่รวมกับระลอกเดิมๆที่เกิดขึ้นไปแล้วหรือยังมาไม่ถึง มาการ์ดตกกันตอนปลาย มันดูไม่งามเอาเสียเลย.วีรพจน์ อินทรพันธ์