เวียดนามเดินนโยบายต่างประเทศได้อย่างชาญฉลาด คบกับมหาอำนาจได้อย่างราบรื่นทุกประเทศ ทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป รัสเซีย จีน และอินเดียเวียดนามเอาอินเดียมาถ่วงอำนาจจีนด้วยการรับการเยือนจากกองทัพเรืออินเดีย เวียดนามมีเขตการค้าเสรีกับยุโรป ซื้อเรือดำน้ำและรับเทคโนโลยีชั้นสูงจากรัสเซียโดยแลกกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่เวียดนามผลิตได้แม้เมื่อก่อนจะมีสงครามกับสหรัฐฯ แต่เดี๋ยวนี้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ จนประธานาธิบดีทรัมป์ฮึ่มหลายครั้งว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามเวียดนามไม่ได้โวยวายตีโพยตีพายด่าทรัมป์ สื่อเวียดนามก็สุภาพเรียบร้อยกับทรัมป์ รัฐบาลเองก็หาทางซื้อสินค้าอเมริกันเพื่อลดความได้เปรียบทางการค้าช่วงที่พ่อและคณะอยู่กับผมที่เมืองกุ้ยหลิน เพื่อนชาวเวียดนามเล่าว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทอเมริกันที่ชื่อว่า AES เข้ามาลงนามเพื่อก่อสร้างสถานีก๊าซธรรมชาติเหลวมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ ได้โรงไฟฟ้าในจังหวัดบิ่งทวน8 พฤศจิกายน 2562 บริษัทอเมริกัน AES ก็เข้ามาลงนามบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลเวียดนามมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ วันที่ 8 นี้เองครับ ก็ยังมีพิธีลงนามข้อตกลงการบริการด้านเครื่องยนต์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระหว่างบริษัทอเมริกันและสายการบินเวียดนาม วันเดียวกันก็ยังมีการลงนามข้อตกลงแบ่งการผลิตระหว่างบริษัทอเมริกันกับกลุ่มบริษัทน้ำมันและก๊าซของเวียดนามในแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่งเวียดนาม บล็อก 15–2/17เวียดนามเอาใจสหรัฐฯถึงขนาดต้น พ.ศ.2562 ยอมนำเข้าน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ และตอนนี้ก็ติดต่อกับสหรัฐฯว่าจะนำเข้าถ่านหินเพื่อมาใช้ผลิตพลังงานอีกเห็นการลงนามบานเบอะเยอะแยะระหว่างสหรัฐฯกับเวียดนาม เราก็พอมองออกครับว่านอกจากต้องการจะเอาใจทรัมป์แล้ว เวียดนามยังใช้การค้ากับสหรัฐฯมาถ่วงดุลการเมืองระหว่างประเทศกับจีน ซึ่งเป็นการเดินเกมที่ฉลาดมากแม้ว่าจะมีปัญหาความขัดแย้งกันในทะเลจีนใต้ แต่เวียดนามพยายามลดปัญหาให้น้อยลงด้วยการส่งเสริมการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม ที่ติดกับเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทั้งที่ด่านม่องก๋าย-ตงชิง และด่านด่งด่าง-ผิงเสียงสี จิ้นผิง เป็นผู้นำจีนที่ใช้นโยบายน้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอก ตั้งแต่เป็นผู้นำเมื่อ พ.ศ.2556 นายสีไปเยือนเวียดนามหลายครั้ง โดยใช้สะพานเชื่อมว่าต่างก็ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เหมือนกัน ทุกครั้งที่เจรจากัน ทั้งจีนและเวียดนามไม่ยกเรื่องทะเลจีนใต้มาพูดถึงพ.ศ.2559 มีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งที่ 12 เพื่อเลือกผู้นำชุดใหม่ ผู้ใหญ่ของเวียดนามตอนนั้นมี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งนิยมสหรัฐฯ นำโดยนายเหงียน เติน สุง ที่มีนโยบายสุดลิ่มทิ่มประตูเอียงไปทางสหรัฐฯ อีกกลุ่มหนึ่งมีนโยบายเอียงไปทางจีน คือ นายเหงียน ฝู จ็อง ผู้ที่จบสถาบันการบริหารรัฐกิจชั้นสูงแห่งรัสเซียนักวิเคราะห์ฟันธงว่าฝ่ายของนายเหงียน เติน สุง ต้องชนะแน่ แต่ก็ปากกาหักกันทั้งโลก เพราะฝ่ายของนายเหงียน ฝู จ็อง ชนะ พอถึงต้นปี พ.ศ.2560 เหงียน ฝู จ็อง ก็ไปเยือนจีน สร้างความอบอุ่นขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างจีน-เวียดนามมากขึ้นเกมนี้ของเวียดนามเป็นการยิงปืนนัดเดียวนกตกลงมาทั้งฝูง ปัญหาทะเลจีนใต้ลดลง แถมเป็นการบอกกับสหรัฐฯว่าถ้าคุณขู่ฉันมาก ฉันก็ไปคบกับจีนได้นะ นอกจากนั้น การค้าขายกับจีนก็ดีขึ้น พรมแดนประชิดติดกันส่งสินค้าได้ง่าย แถมยังมีเงินเข้าเวียดนามจากการลงทุนจีน จนจีนกลายเป็นนักลงทุนอันดับ 3 รองจากฮ่องกงและเกาหลีใต้จีนกำลังเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี การที่นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในเวียดนาม ก็ทำให้คนเวียดนามได้เรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ของจีนด้วยเวียดนามผลิตสินค้าได้มาก เมื่อก่อนตอนที่มีปัญหากับจีนเข้มข้น เวียดนามส่งเข้าไปจีนได้น้อย พอความสัมพันธ์ดีขึ้น วันนี้สินค้าทางการเกษตรจากเวียดนามก็เต็มกว่างซีจ้วงการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศต้องถือคติของช่างตัดผมครับ หลายหัวดีกว่าหัวเดียวส่วนประเทศที่สั่งการมาจากผู้นำรัฐบาลเพียงคนเดียวมักเดินเกมสะเปะสะปะเดินไปเดินมา ประเทศกลายเป็นมดก็มี.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com