เมื่อ 5 พ.ย.62 สำนักข่าวต่างประเทศทั้งเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์ รายงานความคืบหน้าบรรยากาศการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 35 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในวันปิดประชุม 4 พ.ย. โดยระบุว่านายโรเบิร์ต โอไบรอัน ผู้แทนพิเศษประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวโจมตีรัฐบาลจีนว่าใช้วิธีการข่มขู่ เพื่อยับยั้งชาติสมาชิกอาเซียนในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 75 ล้านล้านบาทขณะที่นายเกง ชวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ออกแถลงการณ์ว่าสหรัฐฯไม่ควรแสดงท่าทีใดๆเกี่ยวกับประเด็นทะเลจีนใต้ ส่วนก่อนหน้านี้นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศว่าพร้อมจะทำงานร่วมกับอาเซียน และจีนต้องการรักษาสันติภาพในระยะยาวและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวสื่อต่างประเทศระบุด้วยว่าในการประชุมครั้งนี้ นักการทูตและนักวิเคราะห์ต่างสงสัยในท่าทีของสหรัฐฯ ว่าพร้อมจะมีส่วนร่วมจริงจังในภูมิภาคหรือไม่ หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งเจ้าหน้าที่ระดับล่างคือนายโอไบรอันมาร่วมการประชุม จนทำให้ที่ประชุมอาเซียนต้องปฏิบัติตามพิธีการทูต ส่ง รมว.ต่างประเทศเข้าร่วมประชุมแทนถึง 7 ประเทศจาก 10 ประเทศ ทั้งยังสร้างความกังวลด้วยว่า ไม่สามารถพึ่งพาสหรัฐฯได้อีกแล้วหรือไม่ ในการเป็นตัวถ่วงดุลอำนาจจีนที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้านโฆษกรัฐบาลเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า นายมูน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้หารือนอกรอบกับนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการพบปะกันครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี หลังเกิดกรณีพิพาททางการค้าระหว่างเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น จากประเด็นประวัติศาสตร์ โดยผู้นำทั้งสองตกลงที่จะหาทางออกด้วยการเจรจากระนั้น รอยเตอร์ระบุว่าการหารือมีความคืบหน้าน้อยมาก เพราะญี่ปุ่นยืนยันว่าประเด็นแรงงานทาสยุคสงคราม ถูกคลี่คลายไปตั้งแต่มีการลงนามข้อตกลงรื้อฟื้นความสัมพันธ์สองประเทศในปี 2508 ส่วนเกาหลีใต้เตรียมระงับข้อตกลงแบ่งปันข่าวกรองสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.นี้ แต่เสนอว่าหากญี่ปุ่น ยกเลิกการระงับสิทธิพิเศษทางการค้า เกาหลีใต้ก็จะระงับการยกเลิกแบ่งปันข่าวกรอง