หนังสือชุดอักขรานุกรมประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรจัดทำและพิมพ์เผยแพร่ เล่มแรก เริ่มจากอักษร ก อักษร ข เมื่อปี พ.ศ.2526 จนมาถึงเล่มล่า...พ.ศ.2559 เล่มอักษร นแต่ละเล่มกรมศิลป์ใช้เวลานานมาก แต่ก็ได้เนื้อหาชุดความรู้เก่าที่หาอ่านยาก...คุ้มค่า เวลารอคอยสำนวน นอนบนคมหอก นอนบนคมดาบ ตอนนี้ก็ยังมีคนใช้กันอยู่ แต่คนใช้ไม่รู้เรื่องราวอันเป็นที่มาคำว่า นอนหอกนอนดาบการละเล่นสมัยโบราณ สมัยแรกๆจัดอยู่ในประเภท “หกคะเมน” สมัยต่อมาเรียก “กายกรรม” เริ่มแต่ สามต่อ ไต่ลวด หกคะเมนชี้ฟ้า ยืนลำแพน ลอยลวด ลวดลังกา ลอดบ่วงเพลิง นอนหอกนอนดาบการละเล่นเหล่านี้เลิกกันไปนาน คนรุ่นใหม่ฟังชื่อแล้ว ยังพอนึกภาพได้ เช่น ไต่ลวด หกคะเมนชี้ฟ้า ยืนลำแพน ลอดบ่วงเพลิงแต่ “สามต่อ ลวดลังกา...”เล่นกันท่าไหน ยังไง...นึกยังไง ก็ไม่ออกแต่ก็มีการละเล่น นอนหอกนอนดาบ...ที่ฟังชื่อแล้วพอนึกภาพได้บ้างมีคำอธิบายว่า วิธีการเล่นนอนหอกนอนดาบ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามีกระบวนการท่าใด ผู้เล่นเป็นใคร...แต่ก็มีหลักฐานว่า แบ่งการเล่นเป็นสองฝ่ายฝ่ายหนึ่งนอนเหยียดยาวบนปลายหอก (ดาบก็ใช้ได้ ปลายแหลม หวาดเสียวเหมือนกัน) อีกฝ่ายยืนคร่อมบนร่าง เอาภาชนะรูปร่างคล้ายครกวางไว้ที่ท้องคนนอน มือถือสากเงื้อง่า ทำท่าตำเพิ่มน้ำหนัก เพิ่มความหวาดเสียวระทึกใจให้กับคนดูคำอธิบายเหล่านี้ ได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ไม่ได้ระบุว่า ภาพในโบสถ์ วิหาร หรือศาลาการเปรียญดูภาพจิตรกรรมของจริงก็จะเห็นการละเล่น “ไต่ลวด” ติดกับการละเล่นนอนหอกนอนดาบ ในภาพนั้นคนดูผู้ใหญ่สนใจการละเล่นอย่างอื่นมากกว่าส่วนนอนหอกนอนดาบนั้น ผู้ใหญ่คงดูมาก่อน แล้วเข้าใจว่าเป็นแค่การแสดง “ไม่ใช่ของจริง...” จึงไม่ตื่นเต้นเท่ากับเด็กๆที่เห็นเป็นเรื่องหวาดเสียว ระทึกใจ ดูแล้วก็เอาไปเล่ากันต่อ ใครไม่เคยดู ก็ชวนกันมาดูการละเล่นหกคะเมน รวมการละเล่นนอนหอกนอนดาบ...ดูจากภาพจิตรกรรม...ถูกจัดพื้นที่ให้แสดงเรียงราย สลับกับการมหรสพบันเทิง ยุคสมัยนั้นคือ โขน หุ่น ละคร งิ้ว หนังใหญ่ ฯลฯการละเล่นทั้งการมหรสพเหล่านี้ จำนวนผู้เล่นแต่ละประเภทมีมากน้อยตามความสำคัญ และชั้นยศของงาน ซึ่งมักเป็นงานของ “เจ้านาย”บุหลง ศรีกนก ผู้เรียบเรียงเรื่องนี้บอกว่า นอนหอกนอนดาบ เป็นการละเล่นโบราณในงานมหรสพของหลวง เล่นกันได้ทั้งในงานมงคล และงานอวมงคลสันนิษฐานว่า มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้เลิกการมหรสพในงานพระเมรุการละเล่นนอนหอกนอนดาบจึงถูกยกเลิกไปด้วยแต่ภาพความทรงจำของผู้คนยังมีอยู่ จึงเอาการละเล่นนอนหอก นอนดาบ ไปใช้กับใครที่ไปทำอะไรเสี่ยงภัย ช่วงเวลาชะตาพลิกผัน ...เป็นตายไม่รู้ตัวผู้ร้ายไม่ว่าคนหรือพระที่เจอข้อหาแรง ขนาดรัฐต้องใช้ ม.44 กำลังหลบหนีคดีหัวซุกหัวซุน หรือคดีนักการเมืองที่กำลังถูกตามยึดทรัพย์คนเหล่านี้หนีไปอยู่ที่ไหนนอนตาไม่หลับ มักรำพันว่าชีวิตเหมือนนอนบนคมหอกคมดาบ...ฟังแล้วน่าสลดน่ารันทด ไม่น้อยเลยทีเดียว.กิเลน ประลองเชิง