ในขณะที่ระบบปัญญาประดิษฐ์ AI กำลังอยู่ในช่วงติดลมบน หลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐหรือเอกชนต่างพยายามหาทางนำเอไอมาช่วยอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน ก็เริ่มมีเสียงสะท้อนกลับมามากขึ้น ตั้งคำถามว่าเอไอมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ และมีโอกาสผิดพลาดมากน้อยเพียงใดอย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท “ดีลอยท์” ที่ปรึกษาชั้นนำด้านการบริหารธุรกิจระดับโลก จำเป็นต้องออกแถลงยอมรับความผิดพลาดอย่างเป็นทางการ หลังโปรเจกต์จัดทำรายงานด้านการเงิน 237 หน้าให้กับกระทรวงจัดหางานออสเตรเลียมูลค่าการว่าจ้าง 440,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือกว่า 9.35 ล้านบาท เกิดความผิดพลาดหลายจุด โดยเฉพาะการอ้างอิงถึงคำพิพากษาของศาลอย่างผิดๆโดยการตรวจสอบพบว่า เป็นผลจากการที่ทีมงานนำระบบเอไอมาช่วยในการหาข้อมูล และไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนว่าข้อมูลที่เอไอแปะมาให้ ถูกต้องแม่นยำหรือเปล่ากรณีนี้ทางทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย เคยเขียนบทความเรื่อง “งานชุ่ย” จากการใช้เอไอ ใช้ข้อมูลจากแบบสอบถามข้าราชการและพนักงานบริษัท 32,352 คน ใน 47 ประเทศ โดย 61% ยอมรับว่าปกปิดไม่ให้เจ้านายรู้ว่าใช้เอไอช่วยทำงาน และ 51% ยอมรับว่าเคลมผลงานเอไอเป็นของตัวเองถึงแม้คนทำงานส่วนใหญ่จะยอมรับว่า เอไอช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ปัญหาจะไปตกอยู่ที่ “คนตามเก็บงาน” หรือระดับหัวหน้างาน ที่ต้องทำงานมากขึ้น บางครั้งต้องมานั่งเช็กข้อมูลเหมือนเริ่มทำงานใหม่หลังตรวจพบความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้เอไอมาช่วย ไม่รวมถึงเรื่องทีมงานเจนใหม่กว่า 50% เลือกที่จะสอบถามเอไอ แทนที่จะประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม คุยกับคนเป็นๆสอดคล้องกับรายงานของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐฯ ที่เจาะลึกเรื่องนี้และพบว่า ข้าราชการหรือพนักงานในสหรัฐฯกว่า 40% เคยมีประสบการณ์ได้รับ “งานชุ่ยเอไอ” จากเพื่อนร่วมงานในช่วงเดือนที่ผ่านมา เช่นเดียวกับผลวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของสหรัฐฯที่คำนวนเวลาได้ว่า การเช็ดขี้งานชุ่ยเอไอจะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 2 ชั่วโมงและหากตีเป็นตัวเลขกลมๆแล้ว บริษัทเอกชนที่มีพนักงาน 10,000 คน จะสูญเสียผลิตผลในการทำงาน คิดเป็นมูลค่ากว่า 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 288 ล้านบาทต่อปี จากการปล่อยให้ใช้เอไออย่างหน้ามืดตามัว โดยไม่ประเมินว่า อันไหนใช้เอไอได้ อันไหนใช้เอไอไม่ได้.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม