ความตึงเครียดชายแดนไทยใน จ.สระแก้ว “เริ่มเห็นการยั่วยุของกัมพูชา” ในการเกณฑ์ประชาชนมาทำลายลวดหนาม และกดดันเจ้าหน้าที่ไทยรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหวังให้เกิดการตอบโต้ทางทหารอันเป็นเกมของฝ่ายกัมพูชาที่วางหมากหวังลากให้สถานการณ์ไปสู่เวทีระหว่างประเทศแต่ฝ่ายไทยตระหนักดีว่า “กัมพูชากำลังเดินเกมล็อบบี้ทางการทูตอันเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้มาโดยตลอด” ทำให้ต้องตอบโต้ในระดับเดียวกันด้วยการใช้กลไกผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติมาร่วมประเมินในพื้นที่จริงเพื่อเป็นพยานยืนยันว่า “ไทยมิได้รุกราน” ทั้งจัดทำเอกสารหลักฐาน ภาพถ่าย และข้อมูลภาคสนามในการสื่อสารกับประชาคมโลกด้วย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช. มองว่า ความจริงแล้วบ้านหนองจาน หรือหนองหญ้าแก้ว “องค์กรระหว่างประเทศ” ทุกฝ่ายต่างเข้าใจดีว่าเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตไทย 100%ถ้านับถอยหลังไปปี 2521-2522 “ในเหตุการณ์ความขัดแย้งเขมร 3 ฝ่าย” มีการสู้รบกันจนคนกัมพูชาอพยพเข้ามาในฝั่งไทย “UNHCR และกาชาดสากล” ก็เข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่ รับรู้ยอมรับว่าการดำเนินการนั้นอยู่ในเขตไทย จึงทำให้องค์กรระหว่างประเทศที่จะสามารถเข้ามาดำเนินการช่วยเหลือ และจัดการสถานการณ์ได้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตรขณะเดียวกัน “คนไทยอาศัยอยู่บริเวณแนวชายแดน” ก็ได้อพยพถอยร่นเข้ามายังพื้นที่ด้านใน เนื่องจากพื้นที่นั้นอยู่ในรัศมีระยะยิงของปืนใหญ่จาก “ฝั่งกัมพูชา” ดังนั้นประเด็นเขตแดนบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว “ไม่ใช่ปัญหาเพราะตั้งอยู่ในเขตไทยชัดเจน” แล้วก็มีพยานหลักฐานในระดับสากลรองรับด้วยซ้ำแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ “ฝ่ายไทยดำเนินการใช้ช่องทางการทูต” อย่างการทำหนังสือเป็นทางการไปยังองค์กรระหว่างประเทศอาจทำให้บางฝ่ายมองว่า “ท่าทีอ่อนเน้นเอกสารเกินไป” แต่การดำเนินการลักษณะนี้มีความจำเป็นถูกต้องตามหลักสากลเพียงแต่ต้องไม่หยุดแค่การทำหนังสือยังต้องสื่อสารผ่านทางช่องต่างๆ ต่อเนื่องด้วยทั้งควรแสวงหาพันธมิตรจาก “ประชาคมอาเซียน” ดึงมาสังเกตการณ์เป็นพยานให้ฝ่ายไทย รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐฯ และจีน เพื่อให้เห็นพ้องข้อเท็จจริง ทำให้ไทยต้องทำงานเป็นทีมเวิร์กระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศควรสื่อสารระดับนานาชาติ “อันได้รับแรงหนุนจากรัฐบาล” ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงก็ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงหลักฐาน เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ “เพื่อใช้สื่อสารในเวทีโลก” แม้ผลลัพธ์อาจไม่ชัดในระยะสั้น แต่ก็ช่วยเสริมความชอบธรรม และแรงสนับสนุนจากนานาชาติให้ฝ่ายไทยในระยะยาวได้อย่าลืมว่า “ฝ่ายกัมพูชา” พยายามแก้เกี้ยวนำเสนอข้อมูลมุมตัวเองเช่นกัน ดังนั้นสถานการณ์นี้ไทยต้องต่อสู้ผ่านการสื่อสารในเวทีโลกควบคู่ “ดำเนินการภาคสนามในพื้นที่” โดยที่ผ่านมาเราก็เดินแนวทางได้ถูกต้องแล้วเพียงแต่ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการสื่อสาร ทั้งด้านเนื้อหา ความถี่และการส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อประชาคมโลก ขณะที่การปฏิบัติในพื้นที่ “ไทยมีความชอบธรรมเต็มที่” ในการปฏิบัติการป้องกันตนเองจากการรุกรานของกัมพูชา หรือแม้แต่การถอนอาวุธหนัก หรือถอนกำลังออกจากพื้นที่นั้น “ฝ่ายไทย” ก็ต้องชี้แจงให้ฝ่ายที่ควรถอนกำลังคือ “กัมพูชาผู้รุกราน” เพราะไทยเป็นฝ่ายรักษาอธิปไตย และป้องกันตนเองภายในดินแดนอันชอบธรรมนี้ตั้งแต่การวางลวดหนาม “เพื่อป้องกันการรุกล้ำ และการวางกับระเบิดฝ่ายกัมพูชา” ซึ่งเป็นการปฏิบัติการถูกต้องตามหลักสากล “แต่ไม่ใช่กำหนดเขตแดนถาวร” เพราะเขตแดนยังต้องพูดคุยตกลงกันในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่เมื่อมีความชัดเจนแล้วจึงจะพิจารณาต่อไปว่าจะมีรั้วถาวรต่อไปหรือไม่ส่วนกรณีกัมพูชาเคลื่อนไหวหากตรวจสอบลึกพบว่า “มีการผสมกับทหารประจำถิ่น” เพื่อยั่วยุให้ไทยตอบโต้ทางทหาร แต่ฝ่ายไทยก็ไม่หลงกลเลือกการบังคับใช้กฎหมายผ่านตำรวจซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดย้ำปัจจัยบวกช่วงนี้คือ “การเปลี่ยนผู้นำไทย” สังเกตจากฮุน เซน อดีตนายกฯกัมพูชาที่เคยมีบทบาทในความขัดแย้งก็ถอยบทบาทลงส่งต่ออำนาจให้ฮุน มาเนต นายกฯ ออกมาแสดงไมตรีต่อผู้นำคนใหม่ไทย แล้วนายกฯไทยคนปัจจุบันก็มีจุดยืนมั่นคงดำเนินนโยบายได้อย่างอิสระ และไม่มีจุดอ่อนในเรื่องถูกครอบงำเหมือนในอดีต อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่า “กัมพูชาไม่ได้เล่นเกมเฉพาะสถานการณ์หน้างาน” สำหรับการยื่นเรื่องต่อสหประชาชาติเท่านั้นแต่ยังเดินเกมเชิงการเมืองระหว่างประเทศ “ล็อบบี้นานาชาติ” ซึ่งจุดนี้ไทยต้องวางแนวทางรับมือให้ดีเพราะกัมพูชาวางเกมให้สถานการณ์ในพื้นที่ปะทุโต้กลับด้วยปฏิบัติการทางทหารที่จะกลายเป็นจุดอ่อนของเราเพราะเป้าหมายจริง “กัมพูชา” พยายามลากสถานการณ์เข้าสู่เวทีสหประชาชาติสร้างแรงกดดันให้ไทยเข้าสู่กระบวนการที่อาจจบลงที่ศาลโลกเหมือนที่เคยได้ชัยชนะมาแล้วกรณีปราสาทพระวิหารซึ่งก็ใช้แนวทางเดิมซ้ำอีกทำให้ที่ผ่านมามักจะเห็น “กัมพูชาร้องไป UN” เพื่อพยายาม ผลักดันเรื่องเข้าสู่ศาลโลก แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยศาลโลก และคณะมนตรีความมั่นคงฯไม่รับพิจารณา ขณะที่ไทยก็เริ่มมีเอกภาพทั้งรัฐบาล กองทัพ และประชาชน ทำให้สามารถเชิญผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ เช่น มาเลเซีย สหรัฐฯ จีน มาร่วมรับรู้เหตุการณ์ เป็นกลไกทางการสื่อสารกับอาเซียน และเวทีโลกผ่านกระทรวงการต่างประเทศที่ย้ำว่าไทยถูกกระทำจากกัมพูชาเป็นผู้รุกราน“เราต้องย้ำจุดยืนความชอบธรรมซ้ำๆผ่านกลไกทางการทูต และการสื่อสารระดับภูมิภาคต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันว่าฝ่ายยั่วยุเปิดเกมก่อนคือกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่ไทยเพียงแต่เราต้องเตรียมพยานหลักฐาน และเอกสารรายงานเหตุการณ์ให้รัดกุมในการส่งต่อไปยังเวทีระหว่างประเทศอย่างมีน้ำหนัก” พล.ท.ภราดรว่า แม้ว่าฝ่ายกัมพูชาจะพยายามล็อบบี้นานาชาติ “ไทยก็ต้องตอบโต้ด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง และความชอบธรรมที่เหนือกว่า” บวกกับความเป็นเอกภาพของรัฐบาล กองทัพ และประชาชน จะทำให้ไทยมีความแข็งแกร่งทางการทูตมากขึ้น เพราะจุดอ่อนจากความไม่ไว้ใจกันภายในสมัยอดีตตอนนี้ถูกลบล้างไปแล้วส่วนเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย “กรณีกัมพูชาทำลายทรัพย์สินราชการ หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่” ตำรวจไทยอาจเริ่มด้วยแนวทางผ่อนปรนควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายก่อน แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อรุนแรงขึ้นก็อาจจะยกระดับมาตรการ เช่น จับกุมผู้กระทำผิด หรือแกนนำ เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบต่อไปนี่คือมาตรการเดินหน้าอย่างมั่นคงจาก “ความเป็นเอกภาพ” ในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มที่แล้ว “ฝ่ายไทย” ก็ยืนยันตอบสนองต่อสถานการณ์ในแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย “ไม่ใช่ปฏิบัติการทางทหาร” เพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางกลายเป็นเป้าในเวทีนานาชาติ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม