เหตุถนนสามเสนยุบตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ “หน้า รพ.วชิรพยาบาล ใกล้สถานีตำรวจสามเสน” กลายเป็นภาพสะเทือนใจไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบในเชิงกายภาพ และการจราจรเท่านั้น แต่ยังกำลังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานในใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทยแม้กรุงเทพฯจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนามาต่อเนื่อง “เป็นเมืองมีระบบสาธารณูปโภคครบครัน” แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เห็นพื้นที่บางส่วนซ่อนความเสี่ยงไว้ใต้ผิวถนน และอาคารสูงจากความซับซ้อนโครงสร้างใต้ดินทั้งแนวอุโมงค์รถไฟฟ้า ระบบระบายน้ำ ท่อประปาขนาดใหญ่ ที่ถูกพัฒนาดัดแปลงซ้อนทับกันมาหลายสิบปีอีกทั้งสภาพดินเดิมกรุงเทพฯ “เป็นดินเหนียวอ่อน” ซึ่งไวต่อการชะล้างจากน้ำให้ดินเกิดการทรุดตัวจากปัจจัยสะสมได้โดยไม่แสดงสัญญาณเตือนล่วงหน้าจนนำไปสู่การยุบตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่หน้า รพ.วชิรพยาบาลนี้ แล้วเท่าที่สอบถาม ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ (วสท.) บอกว่า สาเหตุการยุบตัวต้องเรียนตามตรง “ไม่อาจให้ข้อมูลชัดเจนได้” คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลครบถ้วนเป็นผู้ชี้แจงจะดีกว่า แต่ตอนนี้เราทำได้เพียงเข้าตรวจสอบประเมินความปลอดภัยสิ่งแวดล้อมโดยรอบว่า “มีผลกระทบระดับใดจำเป็นต้องอพยพคนหรือไม่” แล้วเริ่มตรวจสอบอาคารข้างเคียงมีหลังใดอยู่ในภาวะเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล สถานีตำรวจ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ หรือตึกแถวข้างเคียง และในเบื้องต้นที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหน้างานก็ไปยืนอยู่ฝั่ง รพ.วชิรพยาบาล ตรวจสอบว่า “จุดยืน เป็นหลังคาลานจอดรถใต้ดิน 1—2 ชั้น” ทั้งขอแบบแปลนมาดู พบว่าเสาเข็มที่ใช้มีความยาวเพียงพอ และมีการทำกำแพงกั้นดินไว้เรียบร้อยด้วยเวลาขุดดินก่อสร้างชั้นใต้ดินต้องลึกกว่าระดับดินปกติ จำเป็นต้องทำกำแพงกันดินที่เรียกกันว่า “ไดอะแฟรมวอลล์” ซึ่งก็ มีอยู่ในแบบมีขนาดตามมาตรฐาน ส่วนอาคารข้างเคียง 9 ชั้น ก็มีการใช้เสาเข็มยาว 50 เมตรขณะที่หลุมยุบตัวลึกประมาณ 16 เมตร ดังนั้นเสาเข็มมีความลึกมากกว่าหลุมยุบอยู่มาก แล้วเมื่อดูจากลักษณะอาคารยังตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงไม่มีรอยแตกร้าว หรือสัญญาณบ่งชี้ว่าอาคารเกิดการเคลื่อนตัว ถัดมาก็ข้ามฝั่งไปอีกด้านหนึ่ง “เพื่อตรวจสอบสถานีตำรวจว่ามีผลกระทบหรือไม่” เพราะมองเห็นดินในบริเวณนั้นไหลออกจนเสาเข็มมุมขวาสุดขาด 2 ต้น และอีก 1 ต้นหลุดออกไปติดอยู่ในดิน และเมื่อข้ามฝั่งไปดูพื้นที่ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีรอยร้าวเกิดขึ้นกับตัวอาคารสัมพันธ์กับปัญหาดินเลื่อนไหล และเสาเข็มที่ขาดหรือไม่พอเดินเข้าในตัวอาคารสถานีตำรวจปรากฏว่า “ตัวคาน และเสายังอยู่ในสภาพดีไม่แตกร้าว” แต่ยังคงมีรอยแตกร้าวพบเฉพาะพื้นชั้นล่างเท่านั้น “บริเวณนี้บ่งชี้สอดคล้องกับตำแหน่งที่เสาเข็มขาด” ทำให้เดินอ้อมไปดูด้านหลังอาคารพบ “รอยแยกระหว่างตัวอาคารกับถนน” แสดงให้เห็นว่าตัวถนนไม่ได้ถูกดึงตามการทรุดทำให้ติดตั้งกล้องมอนิเตอร์ไว้ “โดยใช้ระบบ iScope ตรวจ วัดการเคลื่อนไหว” ถ้ามีการขยับตัวเมื่อใดระบบจะส่งสัญญาณเตือนทันที เบื้องต้นขณะนี้อาคารยังไม่ได้เกิดการขยับตัวเพิ่มเติมในระดับที่น่ากังวล ส่วนอาคารบ้านพักของตำรวจขอบเขตของการทรุดตัวยังไม่ลุกลามไปถึง แต่เพื่อความปลอดภัยก็ให้อพยพไว้ก่อนแล้วขณะเดียวกัน “ต้องพยายามควบคุมไม่ให้น้ำไหลลงในบ่อดินทรุดตัว” เพราะหากน้ำเข้าไปมากดินจะอ่อนตัว และเคลื่อนตัวมากขึ้นส่งผลให้ดินอยู่ใต้ฐานอาคารสถานีตำรวจไหลตามลงมาอีกและก็ได้ไปตรวจถนนแยกสุโขทัยมาถึงจุดเกิดหลุมยุบก็ยังไม่พบรอยร้าวบนผิวถนน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ดินบริเวณนี้หยุดการเคลื่อนตัวแล้ว ประเด็นโอกาสการทรุดตัวขยายวงของหลุมยุบนั้น “ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีน้ำไหลลงอย่างต่อเนื่อง” ดังนั้นถ้ามีฝนตกลงมาย่อมจะทำให้ดินอ่อนตัวเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น “เสี่ยงจะพังถล่มเพิ่มเติม” ลักษณะการพังถล่มที่น่ากังวลคือ “ฝั่งของสถานีตำรวจ” เพราะดินใต้พื้นที่นั้นได้ไหลออกไปเป็นจำนวนมากพอสมควรส่วนโครงสร้างสถานีตำรวจนั้น “ไม่อาจทราบก่อสร้างถูกต้องตามแบบหรือไม่” แต่การตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบรอยแตกร้าวบ่งชี้ “ความเสียหายตัวอาคาร” อย่างไรก็ดี หลังซ่อมแซมเสร็จไม่ว่าใช้วิธีใดต้องตรวจสอบโครงสร้างอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้อาคาร มิเช่นนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าไปใช้งานในอาคารนี้ทว่าการเก็บกู้พื้นที่ “คงต้องหาต้นเหตุให้เจอก่อนที่จะจัดการแก้ไขให้ได้เร็ว” ตอนนี้ก็พอทราบเบื้องต้นว่า “เกิดจากน้ำซึมเข้าไปใต้ดิน” แล้วดึงดินออกไปทำให้เคลื่อนตัว หรือบางคนบอกว่าเป็นน้ำดึงดิน เรื่องนี้ตามหลักถ้าดินไหลได้ก็ต้องมีพฤติกรรมคล้ายน้ำไหลไปในทิศทางที่ว่าง หรือมีแรงดันต่ำกว่าแต่สุดท้ายไม่ว่าน้ำจะมาจากที่ใด “ถ้าดินไหลออกไปในปริมาณมาก” ย่อมทำให้พื้นที่ด้านบนยุบตัว ดังนั้นถ้าสามารถหยุดต้นเหตุ หรือหยุดการไหลของดินได้การยุบตัวก็จะหยุดตามมาปัญหาก็จะจบลงเช่นนี้จำเป็นต้อง “เริ่มแก้ไขต้นเหตุปัญหาก่อน” แต่ด้วยเรามาถึงภายหลังไม่ทราบรายละเอียดตั้งแต่ต้น ควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการเป็นหลัก ส่วนเราจะสนับสนุนในด้านกู้ภัยและการประสานงานเป็นหลักต่อมาเรื่องน้ำที่ไหลลงร่องดินไม่หยุดนั้น “มีคำถามว่าน้ำไหลไปไหน...?” เรื่องนี้ความสำคัญไม่ใช่แค่น้ำไหลไปไหนแต่ต้องย้อนกลับมาดูว่า “น้ำมาจากไหนมากกว่า” เพราะโดยทั่วไปน้ำที่เห็นน่าจะมีมาจาก 2 ส่วน คือ 1.อาจมาจากท่อน้ำประปารั่ว และ 2.มาจากน้ำเสีย หรือน้ำใช้แล้วของประชาชนที่ถูกระบายผ่านรางน้ำเมื่อพอเข้าใจต้นทางของน้ำเหล่านี้แล้ว “ก็ต้องหาทางบล็อก หรือปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลไปในร่อง” ถ้าทำได้สำเร็จน้ำจะหยุดสถานการณ์ก็จะคลี่คลาย อย่างตอนนี้น้ำหยุดไหลแล้วเป็นสัญญาณที่ดี และถือเป็นข้อบ่งชี้ว่ากำลังเดินมาถูกทางในการแก้ปัญหา เว้นแต่จะมีฝนตกลงมาเพิ่มเติมอาจทำให้สถานการณ์กลับมาเสี่ยงอีกครั้งเพราะน้ำฝนที่ไหลผ่านผิวดินจะพัดพาดินทราย หรือโครงสร้างที่ไม่มั่นคงให้เคลื่อนตัว “คล้ายโคลนถล่มระดับเล็กๆ” อาจนำไปสู่การทรุดตัวพังทลายซ้ำซ้อน และหากมีโพรงใต้ดินร่องน้ำเคยไหลผ่านอยู่อาจจะขยายวงกว้างออกไปอีก ส่วนน้ำไหลลงไปในร่องดินเท่าที่ดูลักษณะน่าจะมุ่งไปยังการขุดอุโมงค์รถไฟฟ้าทำให้เป็นไปได้สูงว่า “ดินไหลลงไปยังพื้นที่ใต้ดินแนวนั้น” แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังต้องไปตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเฉพาะทางเข้าของอุโมงค์ว่าน้ำได้ไหลเข้าไปถึงหรือไม่ และสถานการณ์ภายในเป็นอย่างไรนี่เป็นสาเหตุเบื้องต้นจาก “หลุมยุบขนาดใหญ่บนถนนสามเสน” ที่สะท้อนความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานในใจกลางเมืองเป็นสัญญาณให้หน่วยงานเร่งสำรวจพื้นที่เสี่ยงอย่างเป็นระบบได้แล้ว.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม