รัฐบาล 120 วัน นำโดย นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล จะว่าไปแล้วเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ มาผ่าทางตันการเมืองให้กับปัญหาทางการเมืองที่ถึงทางตัน ถ้าจะลงในรายละเอียด คดีการเมือง ผลพวงจาก นิติสงคราม กำลังถึงทางตันของขั้วการเมือง 3 ขั้ว เพื่อไทย ภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน พรรคแรก เพื่อไทย คดีชั้น 14 คดี ม.144 คดีคลิปเสียง ภูมิใจไทย คดีฮั้วเลือก สว. คดีที่ดินเขากระโดง พรรคประชาชน คดีอดีต 44 สส.ก้าวไกล ทุกคดีที่กล่าวมาแล้วนี้ ล้วนแต่นำไปสู่สาเหตุของการยุบพรรคได้ทั้งสิ้นการดำเนินคดี ยิ่งนานก็ยิ่งบาดลึกไปถึงองค์กรและสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และลามไปจนถึงตุลาการ ขาดความน่าเชื่อถือ นำไปสู่ วิกฤติกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว เป็นสุญญากาศ จะไปเจรจาข้อขัดแย้งก็ไม่ได้ จะไปเจรจาการค้าการลงทุนที่ไหนก็ไม่มีใครคุยด้วยวันๆมานั่งรบกันเองทั้งเพื่อไทย ภูมิใจไทยและพรรคประชาชนถึงทางตัน และมีวิธีเดียวคือ การยุบสภา เริ่มต้นกันใหม่ ก่อนที่จะสายเกินแก้ และอยู่ภายใต้การครอบงำของอำนาจจากปลายกระบอกปืนในระยะยาวที่ได้รับบทเรียนมาจากปี 2557เพราะฉะนั้น จะยุบสภาวันนี้หรืออีก 120 วัน นับแต่วันแถลงนโยบายต่อสภาของรัฐบาล ก็มีค่าเท่ากัน เพียงแต่ประเทศไทยจะต้องเสียเวลาไปกับการผ่าทางตันของนักการเมืองไปอย่างน้อยอีก 120 วันโผ ครม.ชุดแรก ที่มีชื่อของ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ อดีตผู้ว่าการ ธปท. สังคมใจฟูขึ้นมาเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งเป็นรัฐบาลอนุทิน 1 เรียบร้อย อาการใจฟูก็จะค่อยๆหายไป รอติดตามว่าในช่วง 120 วัน อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง 120 วัน คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แค่รอความหวังไปตายเอาดาบหน้าไหนๆพาดพิงถึง ดร.เศรษฐพุฒิ ก็อยากจะนำเอาความเห็นเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจมาแชร์มุมมองเสียงสะท้อนของคนที่อยู่วงใน อดีตผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเติบโตแผ่ว เหมือนคนไข้เรื้อรัง หรือคนเป็นเบาหวาน ความสามารถในการแข่งขันชะลอตัว ความสามารถดึงดูดเม็ดเงินน้อยกว่าเพื่อนบ้าน ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังสูง จีดีพีปี 2568 จะอยู่ที่ 2.3% ปี 2569 ก็ยังเสี่ยงกับเศรษฐกิจขาลงที่ 1.7% และที่สำคัญที่สุดคือปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่สูงจนจะหลุดเพดานอยู่แล้ว เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขเพราะเพื่อนบ้านไปไกลแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารโลกยังแนะว่า หนี้สาธารณะหรือหนี้ครัวเรือนไม่ควรจะสูงกว่า 60% ของจีดีพีด้วยซ้ำ ตามด้วยการแข็งค่าของเงินบาท ราคาทองคำที่ขึ้นไปจนสุดติ่ง และถ้าจะพูดแบบตรงไปตรงมา การที่รายได้ไม่พอกับรายจ่ายบริหารประเทศด้วยงบประมาณแบบขาดดุล รายจ่ายเพิ่มขึ้น รายได้ลดลงทุกปี ก็เท่ากับว่า การดำรงชีวิตของประชาชนอยู่ได้เพราะหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน เม็ดเงินในระบบลงไปอยู่ใต้ดินหมด เม็ดเงินจากรายได้ไม่มีที่มาที่ไปจำนวน 3 แสนล้านมาจากไหนยังไม่มีคำตอบ ปัญหาเร่งด่วนของประเทศไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญแต่ต้องรีบยุบสภา.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม