สัปดาห์ที่ผ่านมา “จาง เจี้ยนเว่ย” เอกอัคร ราชทูตจีนประจำประเทศไทย อธิบายถึง “ข้อริเริ่มธรรมาภิบาลโลก” (Global Governance Initiative) ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่กล่าวในการประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาโดยระบุว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในรอบศตวรรษกำลังเร่งตัว ความปั่นป่วนในภูมิภาคเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การพัฒนาทางเศรษฐกิจถูกขัดขวาง กระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ทวีความรุนแรงมากขึ้น และช่องว่างของธรรมาภิบาลกำลังขยายตัวประการแรก ความน่าเชื่อถือถูกบ่อนเซาะ วัตถุประสงค์และหลักการแห่งกฎบัตรสหประชาชาติไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง กลไกการระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลกหยุดชะงัก ประการที่สองคือ ต้องยกระดับประ สิทธิภาพในการดำเนินงาน ความสามารถในการ ตอบสนองเหตุฉุกเฉิน และความโปร่งใสของสหประชาชาติยังมิได้ถูกยกระดับขึ้น บางประเทศ ไม่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ตามที่รับผิดชอบและประการที่สามคือ การสูญเสียความเป็นตัวแทนอย่างร้ายแรง บางประเทศขัดขวางการปฏิรูปกลไกพหุภาคีมายาวนานเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถออกเสียงและรักษาประโยชน์ของตนเองได้อย่างแท้จริงประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า ยิ่งยากลำบาก ยิ่งต้องยึดมั่นในเจตนารมณ์แห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และยึดมั่นในความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเสนอข้อริเริ่มนี้ จึงสอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชนทั่วโลกและตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของยุคสมัย ข้อริเริ่มนี้ประกอบด้วย 5 แนวคิดหลักโดยข้อแรก ยึดมั่นในความเสมอภาคด้านอธิปไตย ทุกประเทศไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ มั่งคั่งหรือยากจน ต่างมีสิทธิเลือกเส้นทางการพัฒนาและระบบทางสังคมของตนเอง และมีสิทธิร่วมตัดสินใจในกิจการระหว่างประเทศอย่างเท่าเทียมกัน การส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องสะท้อนผลประโยชน์และข้อเรียกร้องของประเทศส่วนใหญ่ สามารถยกระดับความมีสิทธิเป็นตัวแทนและสิทธิการส่งเสียงของประเทศกำลังพัฒนาสำหรับข้อเสนอต่อๆไปขอเก็บไว้ตอนต่อไป วันนี้เนื้อที่ดันหมดเสียก่อนครับกระผม.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม