จากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หลายนโยบายหลายมาตรการจากรัฐบาลชุดเดิมเกิดการชะงัก รอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ อาทิ ปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อบรรเทาภาระค่า ครองชีพ ที่เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนขอใช้สิทธิผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ และอยู่ระหว่างรอปรับแก้กฎหมาย 3 ฉบับ ออกมารองรับล่าสุด พรรคเพื่อไทย โดยนายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรค เพื่อไทย เรียกร้องให้รัฐบาลสานต่อแนวทางลดรายจ่ายช่วยเหลือประชาชนเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้ารูปแบบอื่นๆได้ ถึงแม้ว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ จะมีแนวคิดไม่ทำโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยก็ตามโดยไม่ควรมองว่าการช่วยเหลือประชาชนเป็นภาระรัฐบาล รวมทั้งที่อ้างว่าจะชดเชยให้กับเอกชน แต่หากย้อนไปดูนโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย ในปี 2566 ก็เสนอนโยบายรถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดทั้งวัน เคยประกาศไว้ว่ารถไฟฟ้าเป็นทางออกของคนกรุงเทพฯและปริมณฑล ทุกคนขึ้นได้ค่าโดยสารต้องไม่เป็นอุปสรรคขณะที่นายศุภชัย ใจสมุทร ประธาน คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ระบุว่าเรื่องนี้ต้องศึกษาให้รู้ต้นทุนที่ แท้จริงของค่าโดยสารรถไฟฟ้าก่อน การที่พรรคเพื่อไทยคิด 20 บาท ตลอดสาย เป็นการยกตัวเลขลอยๆเพื่อหาเสียง อาศัยกฎหมายที่มีกองทุน หรือนำงบประมาณส่วนอื่นมาชดเชยให้เอกชน เพื่อหาเสียง ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่สำคัญคน กทม.ไม่ได้ใช้แต่รถไฟฟ้าแต่ใช้รถเมล์ด้วย การจะบอกให้รับช่วงต่อโดยไม่มีข้อมูลวิชาการไม่ควรทำ แต่รัฐบาลที่จะเข้ามาจะศึกษาค่าโดยสารรถโดยรวม จะได้ไม่ต้องอุดหนุนมากกว่าที่ควร ที่สำคัญต้องถามว่านโยบายนี้เป็นเรื่องด่วนหรือไม่ จะต้องศึกษาให้ครบถ้วน รวมทั้งดูเรื่องรถเมล์ด้วย จะเป็นประโยชน์มากกว่าถึงตรงนี้ ก็สรุปได้ว่าคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่หวังจะได้ใช้รถไฟฟ้าราคาถูกลง ก็คงต้องรอกันต่อไป โดยเหตุผลที่ยังไม่มีการสานต่อนโยบายนี้ในเร็ววัน เพราะต้องศึกษาเรื่องต้นทุนที่แท้จริงของค่าโดยสาร เพื่อลดจำนวนงบฯในการชดเชยก็รับฟังได้ เพราะหากเร่งนำงบฯมาอุดหนุนโดยไม่มีข้อมูลก็อาจเข้าทางเอกชนเช่นกันและเรื่องนี้นอกจากเป็นการไม่ปล่อย ผ่านนโยบายของฝ่ายการเมืองต่างพรรคแล้ว ก็ยังมีการมองถึงเรื่องการสกัดกั้นการเอื้อบริษัทเอกชนที่อยู่ต่างฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเหตุใดก็ตาม หากมีนโยบายอื่นๆในลักษณะเดียวกันที่รัฐบาลใหม่มีแนวทาง หากพิจารณารอบคอบแล้วก็ควรเร่งดำเนินการ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม