นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย “เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ได้อ่านคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับไปรับโทษจำคุกใหม่ 1 ปี ก่อนถูกส่งตัวเข้าเรือนจำยอมรับชะตากรรมอย่างสมบูรณ์ไปแล้วหากย้อนดูข้อสรุปเหตุผลของศาลมีคำวินิจฉัยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ “1.การส่งตัวออกเรือนจำไปรักษาใน รพ.ตำรวจ วันที่ 22 ส.ค.2566” ศาลเห็นว่าอาการแน่นหน้าอกนั้นอาจเป็นเพียงข้ออ้างออกไปรักษานอกเรือนจำ เพราะอาการน่าจะหายดีได้ตั้งแต่ 24 ส.ค.แล้วเมื่อถูกส่งไปรักษา รพ.ตำรวจควรเริ่มจากห้องตรวจฉุกเฉินแต่ถูกส่งไปห้องพิเศษชั้น 14 “ไม่เป็นไปตามระเบียบ สตช.” ทั้งยังอ้างเหตุฉุกเฉินจากโรคหัวใจ และกระดูกทับเส้นเมื่อแพทย์เฉพาะทางเข้าตรวจอาการไม่ร้ายแรงกลับไม่ไป รพ.ราชทัณฑ์ที่ห่าง 200 เมตรตามขั้นตอนปกติส่วนที่ 2.ศาลพิจารณาใบความเห็นแพทย์ รพ.ตำรวจ “ใช้ขออนุญาตกรมราชทัณฑ์เพื่อรับการรักษาตัวเกินระยะ 30 วัน, 60 วัน, 120 วัน” ซึ่งให้เหตุผลว่าต้องผ่าตัดกระดูกคอ รักษาสมองขาดเลือด แต่ข้อเท็จจริงกลับผ่าตัดเพียงนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ “ไม่ตรงกับอาการที่อ้าง” จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์ศาลเห็นว่าการรักษาตัว รพ.ตำรวจ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เพราะไม่ได้ป่วยฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล “นายทักษิณย่อมทราบเรื่องสุขภาพตนเองดี” สรุปคือการบังคับโทษจำคุกก่อนหน้านี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลังจากได้รับอภัยโทษลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี โทษที่ต้องกลับไปจำคุกใหม่จึงเหลือ 1 ปีส่วนกรณีการพักโทษลดเหลือ 6 เดือนเมื่ออยู่ รพ.ตำรวจไม่ชอบตามกฎหมายแล้วในช่วงนั้นจึงไม่นับรวมการพักโทษได้ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่าถ้ามองในแง่ภาพลักษณ์ “ท่านทักษิณเทียบกับก่อนหน้านี้” แน่นอนหากไม่มาฟังคำสั่งศาลผลลัพธ์ย่อมไม่ดีทั้งต่อตัวเอง พรรคเพื่อไทย และอาจกระทบถึงคดีความอื่นไม่ว่าจะเป็นของคุณแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ แพทย์ 12 คน ซึ่ง ป.ป.ช.กำลังดำเนินการอยู่ และก็เป็นเรื่องยากจะมีโอกาสกลับประเทศได้อีกแต่การที่ “คุณทักษิณตัดสินใจรับโทษครั้งนี้” ทำให้พรรคเพื่อไทยตั้งหลักได้อีกครั้ง เพราะคนไม่น้อยเริ่มรู้สึกเห็นใจมองว่าการกลับมาครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากับความจริง “เป็นเรื่องที่ดีต่อตัวคุณทักษิณ” ด้วยทัศนคติของสังคมก็เปลี่ยนไปในทางบวก แม้แต่นักการเมืองด้วยกันก็เริ่มแสดงออกในทิศทางเข้าใจเห็นใจมากขึ้น“ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเพลี่ยงพล้ำไปเยอะจนคะแนนนิยมตกแต่สถานการณ์เปลี่ยนไปนับแต่คุณทักษิณมารับโทษกลับมาตั้งหลักได้ มีโอกาสฟื้นฟูขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่จะใช้ เพื่อหยุดการไหลของ สส. แล้วคุณทักษิณเองก็ได้ประโยชน์หลังรับโทษแล้วสังคมจะยอมรับการเผชิญหน้าผลการกระทำจนภาพรวมดูดีขึ้น” ผศ.ดร.ปริญญา ว่าจริงๆแล้ว “หากยอมรับโทษจำคุกแต่แรก” ในแง่ภาพลักษณ์จะดูสง่างามตั้งแต่ปี 2566 ส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยด้วย แต่การหลีกเลี่ยงรับโทษกลายเป็นประเด็นสร้างกระแสด้านลบ มีผลกระทบที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเรื่องนี้ก็เชื่อว่า “คุณทักษิณก็ไม่คิดว่าจะบานปลาย” ถ้ารู้คงยอมรับโทษตั้งแต่ต้นให้เรื่องจบลงนานแล้ว อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นอดีตไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้ “แต่เป็นข้อคิดบทเรียนให้ทุกฝ่าย” แม้คุณทักษิณเคยตัดสินใจผิดพลาดก็เลือกกลับมารับโทษถือว่าตัดสินใจถูกต้อง เพื่อลดความขัดแย้งช่วยคลี่คลายทางการเมืองบางส่วนหากย้อนดูการเมืองไทย “จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกฯ” ก็เคยถูกคุมขัง 5 เดือนในปี 2488 ฐานอาชญากรสงครามก่อนศาลฎีกายกฟ้องปี 2489 “ยังไม่ถือเป็นนักโทษเด็ดขาด” แต่กรณีคุณทักษิณเป็นนักโทษเด็ดขาด และเป็นครั้งแรกที่ศาลเข้ามาตรวจสอบการบังคับโทษของกรมราชทัณฑ์ว่าทำตามคำพิพากษาหรือไม่เพราะปกติหลังคำพิพากษาแล้วการบังคับโทษ เช่น ควบคุมตัว ลด หรือพักโทษ มักเป็นหน้าที่กรมราชทัณฑ์ “ศาลจะไม่เคยเข้ามาติดตาม” โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 12 คน เท่าที่ทราบการไต่สวน 7 ครั้ง สนง.อัยการสูงสุด และ ป.ป.ช.เข้าร่วมฟังทุกนัดเพราะหากพิจารณาถ้อยคำสั่งศาลใช้คำว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือความเห็นทางการแพทย์ไม่ตรงข้อเท็จจริง” ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีเจ้าหน้าที่ถูกฟ้องต่อศาลในไม่ช้านี้ แล้วผลจากกรณีนี้ทำให้กรมราชทัณฑ์ต้องเข้มงวดในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ และระเบียบว่าด้วยการคุมขังในสถานที่ควบคุม พ.ศ.2566 และ 2568อันมีสาระสำคัญคือ “การเปิดทางให้นักโทษเด็ดขาดใช้สิทธิตามระเบียบได้” แต่เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการดำเนินการผิดกฎหมาย และเสี่ยงถูกกล่าวหาในภายหลังถัดมาหากพิจารณา “ระเบียบว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำ” เรื่องนี้คุณทักษิณเข้าเกณฑ์ยื่นขอใช้สิทธิได้ เพราะโทษไม่เกิน 4 ปี เป็นความผิดครั้งแรก ไม่ใช่คดียาเสพติด และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี แต่ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเสนอรายชื่อนักโทษเข้าเกณฑ์ให้ผู้บัญชาการเรือนจำและอธิบดีกรมราชทัณฑ์พิจารณาเพื่อไม่ให้ได้รับสิทธินี้เฉพาะคนใดคนหนึ่ง “หากอนุมัติแล้ว” ผู้ต้องขังอาจรับโทษในสถานพยาบาล หรือที่พักอาศัยภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ เช่น กรณีอยู่สถานพยาบาล ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่คุณทักษิณอาจเข้าเกณฑ์ป่วยเรื้อรัง รักษาไม่หาย โดยต้องมีแพทย์ 2 คนรับรองตรงตามข้อเท็จจริงอย่างระมัดระวังอีกทางเลือกคือ “พักรักษาตัวที่บ้าน” แต่เสี่ยงถูกสังคมตั้งคำถาม และกรมราชทัณฑ์ควรชี้แจงขั้นตอนให้ชัดเจน เพื่อลดข้อสงสัยของประชาชน โดยเฉพาะกรอบกำหนดเวลายื่นขอที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี เรื่องนี้คนอื่นได้อานิสงส์ประโยชน์ด้วย เช่น เรื่องการไปรักษาตัวนอกเรือนจำก็ทำให้กรมราชทัณฑ์ดูเหมือนจะผ่อนปรนมากขึ้นสุดท้ายนี้กรณีคุณทักษิณต้องโทษคดี และเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายก็น่าสนใจว่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องของความเกรงกลัวต่อการกระทำผิดกฎหมายในวงการการเมืองไทย เพราะเมื่อมีตัวอย่างที่ชัดเจนเกิดขึ้นแบบนี้แล้วก็อาจทำให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ในกรอบในระบบมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย และการลงโทษ ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นชัดว่าแม้จะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายศาลก็มีคำสั่งให้กลับไปเริ่มรับโทษในเรือนจำตามขั้นตอนของกฎหมายฉะนั้นเรื่องนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกฝ่าย และในภาพรวมก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศด้วย เพราะอย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมยังทำงานอยู่.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม