การเมืองไทยยุค “สามก๊ก” กำลังแย่งชิงอำนาจกันสนุก วันนี้พรรคประชาชน 143 เสียง จะโหวตเลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 32” ต่อจาก คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกฯพรรคเพื่อไทยที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง รัฐบาลอนุทิน จะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง” (69+77) โดยมีพรรคส้ม 143 เสียง สนับสนุน คุณอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยินยอมลงนามใน “ข้อตกลงร่วม 5 ข้อ” (MOA) ของพรรคประชาชน ตกลงจะยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตกลงจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ตกลงจะไม่ตระบัดสัตย์ทำให้รัฐบาลมีเสียงข้างมาก เพื่อทรยศต่อพรรคส้มอย่างที่เคยโดนมาแล้วศึกชิงอำนาจครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ยับเยิน แม้นายใหญ่ คุณทักษิณ ชินวัตร จะยอมบากหน้าไปขอเสียงสนับสนุนจาก คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่ได้รับคำปฏิเสธกลับมา คุณภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการรองนายกฯ ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ นำพรรคร่วมรัฐบาลไปขอเสียงสนับสนุนรอบสองกับ คุณเท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนอีกรอบ ก็ได้รับคำปฏิเสธกลับไปอีกครั้ง บาดแผลจากการตระบัดสัตย์ครั้งร่วมจัดตั้งรัฐบาลยังอยู่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พรรคเพื่อไทยก็ตัดสินใจทำเรื่องที่ “เสี่ยงที่สุด” คือ ทำหนังสือกราบบังคมทูลขอให้ทรงยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจตาม รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 103 โดย คุณภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการรองนายกฯ ผู้ปฏิบัติ หน้าที่นายกฯ เป็นผู้ลงนาม คุณภูมิธรรม แถลงยืนยันว่า ได้ตัดสินใจยื่นทูลเกล้าฯไปตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นพระราชอำนาจอยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัยคำถามที่ตามมาก็คือ คุณภูมิธรรมมีอำนาจกราบบังคมทูลให้ยุบสภาได้หรือไม่ เพราะ คุณภูมิธรรมไม่ใช่นายกฯ เป็นเพียง ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ประเทศไทยวันนี้ “ไม่มีนายกฯ” หลังจากที่ นายกฯแพทองธาร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากนายกฯไปแล้ว อำนาจยุบสภาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น การกระทำครั้งนี้จึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งคุณปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ก็ยืนยันว่าทำไม่ได้ แม้แต่ “รักษาราชการแทนนายกฯ” ก็ทำไม่ได้ คุณปกรณ์ เคยอธิบายชัดเจนว่า ในประกาศแต่งตั้งนายกฯ ซึ่งมีความสรุปว่า ประธานสภา...กราบบังคมทูลว่า สภาลงมติไว้วางใจให้ นาย/นางสาว...เป็นนายกรัฐมนตรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กรณีประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี ก็ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรไว้วางใจให้เป็นรัฐมนตรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งบุคคลดังต่อไปนี้เป็นรัฐมนตรีจะเห็นได้ว่า เป็นความไว้วางใจมาเป็นทอดๆ พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามที่สภาเสนอ และประธานสภานำความขึ้นกราบบังคมทูล หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลเลขาธิการกฤษฎีกา ระบุว่า โดยนัยนี้เอง รองนายกฯรักษาราชการแทนนายกฯจึงไม่มีอำนาจเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรี หรือเสนอให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง เพราะรองนายกฯ รักษาราชการแทนนายกฯ เป็นเพียงรัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจจากนายกฯ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีคนอื่น จะแต่งตั้งหรือปลดรัฐมนตรีคนอื่นๆมิได้ ยิ่งไปกว่านั้น รองนายกฯรักษาราชการแทนนายกฯจะเสนอให้ยุบสภายิ่งไม่ได้ก็ชัดเจนนะครับ คุณภูมิธรรม รักษาการรองนายกฯ เป็นเพียง “ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” ในยามที่ประเทศไม่มีนายกฯ มีอำนาจเสนอให้ยุบสภาได้หรือไม่ อีกไม่กี่วันก็รู้ถ้า สามก๊ก ในสภาเหลือเพียง สองก๊ก เกมการเมืองในสภาจะเปลี่ยนหรือไม่ 4 เดือนจะมีการยุบสภาหรือไม่ พรรคส้มจะสะดุด MOA ล้มแบบเดียวกับ MOU อีกหรือไม่ เป็นเกมการเมืองไทยที่ต้องติดตามกันต่อไป.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม