มันสำปะหลัง พืชสำคัญของไทยที่มีเกษตรกรปลูกกันมากในภาคอีสาน ซึ่งเมื่อก่อนเกษตรกรจะใช้สารพาราควอตกำจัดวัชพืช เพราะเป็นสารที่มีคุณสมบัติทำให้วัชพืชเหี่ยวและตาย มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ เกษตรกรจึงนิยมใช้อย่างกว้างขวางกับข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ ทว่าการฉีดพ่นพาราควอตเพื่อกำจัดวัชพืชจะทำให้พาราควอตมีโอกาสแพร่กระจายและสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติในดิน น้ำ อากาศ และพืชผลทางการเกษตร โดยจะตกค้างอยู่ในดินเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีกระทั่งปี 2563 ประเทศไทยประกาศให้สารพาราควอตเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตรชนิดที่ 4 เป็นสารที่ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง และห้ามใช้พาราควอต เพราะเป็นสารที่มีความเสี่ยงสูงทำให้เกิดพิษเฉียบพลันสูง หากเราได้รับสารพาราควอตเข้าสู่ร่างกายจากอาหาร จะทำให้มีอาการตั้งแต่เล็กน้อย จนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น พิษเฉียบพลันจะทำให้เกิดแผลในปาก เจ็บคอ อาเจียน ปวดท้อง แสบร้อนในช่องอก เกิดแผลในหลอดลม และระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งมีงานวิจัยต่างประเทศยืนยันว่า ส่งผลระยะยาวต่อสมองทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน ระบบประสาท สมองเสื่อม ที่สำคัญเป็นสารก่อมะเร็งหากสารพาราควอตเข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัส สูดดมจะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง และทำให้เกิดพังผืดในปอดสถาบันอาหารเก็บตัวอย่างมันสำปะหลังสดจำนวน 5 ตัวอย่างจาก 5 ร้านค้าที่ขายในตลาดเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์สารพาราควอตตกค้าง ผลปรากฏว่า พบสารพาราควอตตกค้างในทุกตัวอย่าง ปริมาณที่พบน้อยมากอยู่ในช่วง 0.03-0.08 มิลลิกรัม/กิโลกรัมเห็นผลวิเคราะห์อย่างนี้แล้ว เลือกซื้อ เลือกทานพืชผักผลไม้ที่มั่นใจได้ว่ามาจากแหล่งผลิตที่ปลอดภัย ที่สำคัญก่อนนำมาปรุง ประกอบอาหารก่อนทานควรล้างด้วยน้ำสะอาดไหลผ่านหลายๆครั้ง หรืออาจล้างโดยใช้เบกกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู ด่างทับทิม เกลือป่น หรือน้ำยาล้างผักด้วยได้ เพื่อความปลอดภัยของร่างกายจากสารเคมีตกค้าง. ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัยคลิกอ่านคอลัมน์ “มันมากับอาหาร” เพิ่มเติม