บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย–กัมพูชา หรือ MOU 43 เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อน และบันทึกความเข้าใจที่กำหนดกรอบเจรจา หาข้อสรุปปักปันเขตแดนทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบนอยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ หรือ MOU 44 กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐสภายกเลิก MOU 43–MOU 44 เป็นห่วงไทยเสี่ยงสูญเสียผลประโยชน์ทรัพยากรพลังงานใต้ทะเล โดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หนึ่งในแกนนำ ระบุว่า เป็น MOU สุดอัปยศทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบกัมพูชามาตลอด ถูกจำกัดสิทธิ เสียดินแดนโดยไม่เป็นธรรมในการปักหลักหมุดเขตแดนระหว่างไทย–กัมพูชา จากทั้งหมด 104 หลัก ปักหมุดไปแล้ว 75 หลัก ยังต้องปักปันเขต แดนอีก 29 หลัก แต่ยังตกลงร่วมกันไม่ได้ เพราะทางฝ่ายกัมพูชายืนยันจะใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ส่วนฝ่ายไทยยึดตามหลักสากลที่มาตราส่วน 1 : 50,000 จนเป็นมหากาพย์ข้อพิพาทที่ปะทุขึ้นเป็นระยะสอดคล้องกับญัตติด่วนของพรรคภูมิใจไทย ตีเหล็กตอนร้อนยื่นให้สภา ผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาแนวทางการยกเลิก MOU ชี้ว่าแม้ยกเลิกไปแล้ว ยังเชื่อมั่นเปิดเจรจาทวิภาคีได้ แต่การยกเลิกมีเงื่อนไขต้องทำหลังจาก กมธ.มีข้อมูลครบถ้วน ก่อนเสนอต่อประชาชนให้รับทราบ และจัดทำประชามติข้อมูลภาคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยไปในทิศทางเดียวกัน แต่ท่าทีรัฐบาลยังต้องการให้คง MOU เอาไว้ เพื่อเป็นช่องทางการเจรจาระหว่างประเทศ และท่าทีจากที่ประชุมสภาฯครั้งล่าสุด ก็มีการประสานงานผิดพลาดระหว่างวิปรัฐบาลกับประธานในการประชุม เมื่อญัตติด่วนของพรรคภูมิใจไทยเข้ามา กลับสั่งปิดประชุมทันที ทำให้เสียเวลาสภาฯที่กำลังพิจารณาลับในญัตติร้อนแรง เกี่ยวข้องกับการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งอุดมไปด้วยแหล่งพลังงานมูลค่ามหาศาลกว่า 10 ล้านล้านบาท แม้ผลสำรวจนิด้าโพล นักการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาลไม่เป็นที่หวังของประชาชนอีกต่อไป แต่พฤติกรรมนี้ซ้ำเติมวิกฤตินักการเมืองทางออกประเทศที่ดีในช่วงรัฐบาลขาลง ควรต้องพยายามใช้เวทีรัฐสภา หาทางออกในประเด็นที่แหลมคมเกี่ยวข้องกับอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ โดยต้องเปิดเผยให้ตัวแทนประชาชนได้รับทราบ ไม่เช่นนั้นจะมีโอกาสเข้าเงื่อนไขการทำรัฐประหาร ตามที่นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย สะกิดเตือนไว้.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม