กัมพูชายังลอบกัดไม่หยุด ล่าสุดไทยได้หลักฐานชัด ทหารหน่วย BHQ ลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดแถวเนิน 350 อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ล้ำเข้ามาฝั่งไทยราว 100 เมตร ตรวจพบ PMN-2 ถึง 3 ทุ่น พร้อมลูกระเบิด ค.-ตะปูเรือใบกองทัพบกเตรียมส่งหลักฐานทั้งหมดให้คณะ IOT ขณะเดียวกัน เจอโดรนปริศนาบินล้ำแดนมาอีก ส่งผลสถานการณ์ยังตึงเครียด ส่วนที่บ้านหนองจาน สระแก้ว ไม่แผ่ว กองทัพภาคที่ 1 ร่อนเอกสารชี้แจงข้อตกลงจากประชุม RBC ไม่มีเรื่องรื้อลวดหนาม แต่เป็นกัมพูชาสร้างเรื่อง ทึกทักอยู่ฝ่ายเดียว ขณะที่ชาวบ้านหนองจานร่ำไห้โดนกัมพูชาฮุบที่ทำกินทั้งที่มีเอกสารสิทธิชัดเจนความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังประชุม RBC ที่ จ.สระแก้ว ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องมาจากการประชุม GBC ที่มาเลเซีย โดยได้ข้อสรุปตรงกันทั้งสองฝ่าย แต่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังมีความตึงเครียดเมื่อบางจุดพบทหารกัมพูชา ทั้งเคลื่อนอาวุธและลักลอบข้ามแดนมาวางทุ่นระเบิดสังหารในไทยอย่างต่อเนื่องทหารกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 23 ส.ค. กองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 22 ส.ค. ทหารฝ่ายไทยตรวจพบทหารฝ่ายกัมพูชา ประมาณ 2-3 นาย คาดว่าเป็นหน่วย BHQ เนื่องจากมีการสวมหมวกทรง FAST สีดำ กระทำการดักซุ่มตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตก เนิน 350 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ห่างจากแนวเส้นปฏิบัติการเข้ามาฝั่งไทย ประมาณ 100 เมตร ขณะเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ หน่วยได้ตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณจุดที่พบทหารกัมพูชาดักซุ่ม จำนวน 1 ทุ่น หน่วยจึงได้ใช้เครื่องตรวจทุ่น ตรวจสอบพื้นที่โดยละเอียด และทำเครื่องหมายเพื่อรอรับ การสนับสนุนชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดดำเนินการต่อไปเจอเพียบทั้ง PMN–2/ลูก ค. นอกจากนี้ มีรายงานเพิ่มเติมในเวลาต่อมาด้วยว่า หลังได้รับการสนับสนุนจากชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) จากกองพันทหารช่างที่ 6 เข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด ทำให้พบวัตถุระเบิดเพิ่มเติม ประกอบด้วย ทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวน 2 ลูก (รวมเป็น 3 ลูก) ลูกระเบิด ค.ด้าน จำนวน 2 ลูก ตะปูเรือใบอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวยืนยันได้ว่าฝ่ายกัมพูชายังคงลักลอบใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่อง ทหารฝ่ายไทยยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมปกป้องอธิปไตยของชาติ เพื่อความสงบสุขของสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน“วินธัย” เตรียมส่งหลักฐานให้ IOTต่อมา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เหตุการณ์ปรากฏชัดเจนอีกครั้งว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจากผลการประชุม GBC ที่ผ่านมาในหลายข้อ ทั้งการยั่วยุ รุกล้ำดินแดน และการใช้ทุ่นระเบิดลอบทำร้ายฝ่ายไทย การกระทำดังกล่าวย้อนแย้งกับท่าทีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนต่อประชาคมระหว่างประเทศว่าฝ่ายไทยรุกราน ทั้งที่ความเป็นจริงและหลักฐานต่างๆที่พบ ยืนยันได้ว่ากัมพูชารุกรานและละเมิดข้อตกลง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด กองทัพบกจะส่ง หลักฐานทั้งหมดให้คณะ IOT ทราบถึงพฤติกรรมของฝ่ายกัมพูชา และแจ้งเตือนทุกหน่วยตามแนวชายแดนให้เฝ้าติดตามการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาอย่างใกล้ชิดทภ.1 ชี้กัมพูชามโนฝ่ายเดียวขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากองทัพภาคที่ 1 ได้ออกเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่ปรากฏเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ของภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชา ฉบับภาษาอังกฤษ ระบุถึงผลสำเร็จการเจรจาระหว่างกัมพูชาและไทย จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ จ.สระแก้ว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหารือถึงมาตรการปฏิบัติเพื่อจัดการกับลวดหนาม ยางรถยนต์ และสิ่งกีดขวางอื่น โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ บรรเทาความยากลำบาก อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย และลดผลกระทบต่อการดำรงชีพโดยเร็วที่สุด ว่าเอกสารข้อความดังกล่าวเป็นเพียงคำกล่าวฝ่ายเดียว ไม่ได้เป็นข้อหารือในการจัดทำบันทึกเอกสารข้อตกลงของคณะกรรมการฯ และคณะเลขานุการฯทั้งสองฝ่าย แต่ปรากฏอยู่ในคำกล่าวของรอง ผบ.ทบ./ผบ.ภท.5/ประธานร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ฝ่ายกัมพูชายันไม่มีข้อตกลงรื้อลวดหนามในช่วงการกล่าวเปิด มีประเด็นสำคัญเรื่อง การจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ในพื้นที่ MOU 2543 ควรดำเนินการให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา หารือกัน และในช่วงการกล่าวปิดการประชุม มีประเด็นสำคัญเรื่อง “การรื้อแนวรั้วลวดหนาม ยางรถยนต์ และสิ่งกีดขวางอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ” ทั้งนี้ มทภ.1/ ประธานร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ฝ่ายไทย กล่าวตอบในประเด็นดังกล่าวในช่วงปิดการประชุม สรุปใจความสำคัญ คือ เรื่องข้อหารือต่างๆที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกเอกสารข้อตกลงของคณะกรรมการ และคณะเลขานุการฯของทั้งสองฝ่าย ขอให้นำไปหารือในการประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เพื่อนำไปดำเนินการในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ต่อไปมท.จ่ายเงินช่วยกว่า 617 ล้านบาทส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุกัมพูชายิงจรวดโจมตีไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน 45 อำเภอ 336 ตำบล 4,081 หมู่บ้าน ใน จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพื่อให้มีการเบิกจ่ายงบฯ ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และครบถ้วน โดยข้อมูลสำรวจความเสียหายของ ศบ.ทก.มท.รายงานว่ามีครัวเรือนได้รับผลกระทบ 315,476 ครัวเรือน และประชาชนได้รับผลกระทบ 779,379 คน กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งสิ้น 617,335,499.77 บาท แบ่งเป็นกรณีผู้เสียชีวิต ให้การช่วยเหลือ 17 ราย จำนวน 18,108,658.57 บาท กรณีผู้บาดเจ็บ 36 ราย จำนวน 351,788 บาท ส่วนการใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในอำนาจ ผวจ. รวม 201,371,391บาท แบ่งเป็นวงเงินเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 10 ล้านบาท ดำเนินการแล้ว 2,952,600 บาท เป็นค่าซ่อมแซมและก่อสร้างหลุมหลบภัย จ.สุรินทร์ วงเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (20 ล้านบาท และวงเงินขยาย 100 ล้านบาท) ดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 198,418,791 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ และด้านการปฏิบัติงานใน 6 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว และตราดเร่งเบิกจ่ายเยียวยา–ฟื้นฟูบ้าน นายภูมิธรรมกล่าวว่า นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยได้เร่งช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านที่ได้รับความเสียหาย แล้วเสร็จ 533 หลัง เป็นจำนวน 18,668,372 บาท และได้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า โดย กฟภ.ให้แก่ประชาชน จำนวน 278,506 ราย จำนวน 392,000,000 บาท และช่วยเหลือค่าน้ำประปา โดย กปภ. ให้แก่ประชาชน 21,361 ราย และ 138 ศูนย์พักพิงชั่วคราว เป็นจำนวน 10,893,597.77 บาท รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดน สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการอย่างรอบด้าน ทั้งการจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บให้ครบถ้วนตามสิทธิการดูแลความปลอดภัย สำรวจความเสียหายการซ่อมแซมและฟื้นฟูบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตลอดจนจัดสรรงบฯเพื่อช่วยเหลือการดำรงชีพอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งติดตามประเมินอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกครัวเรือนได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและเป็นธรรมมากที่สุด“พีระพันธุ์” มอบเงินเยียวยาทหารกล้าที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ในฐานะประธานกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี มอบเงินเยียวยาเจ้าหน้าที่ทหารผู้ทุพพลภาพ จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา จากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี มีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เลขานุการกองทุนฯเข้าร่วมส่งมอบกำลังใจด้วย ทั้งนี้ มีการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่เจ้าหน้าที่ทหารผู้ทุพพลภาพ จำนวน 3 ราย รายละ 700,000 บาท และติดตามเร่งรัดการช่วยเหลืออีก 9,300,000บาท จากงบกลางตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)มบส.ถอนปริญญา “ฮุน เซน”นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา โพสต์เฟซบุ๊ก แจ้งว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) ออกประกาศ เรื่อง เพิกถอนปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของสมเด็จฮุน เซน โดยการประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2568 มีมติเป็นเอกฉันท์ อนุมัติการเพิกถอนการให้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ของสมเด็จฮุน เซน“ฮุน เซน” เย้ยไม่ให้ค่าใบปริญญาไทยขณะเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ที่ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รักษาการประมุขแห่งรัฐเป็นการชั่วคราว ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้กรณีที่มหาวิทยาลัย 3 แห่งของไทยเพิกถอนปริญญากิตติมศักดิ์ ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยรามคำแหง มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในปี 2544 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มอบปริญญาในปี 2549 และมหาวิทยาลัยเกริก มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญา ในปี 2562 โดยระบุว่า ได้ทิ้งใบปริญญาทั้ง 3 ใบไปนานแล้วเพราะไม่มีคุณค่าใดๆที่ต้องเก็บไว้ รวมทั้งระบุว่า ปัญญาและความรู้ของเขาไม่ได้มาจากโรงเรียนของไทย แต่เกิดจากประชาชนและโรงเรียนของกัมพูชากห.กัมพูชาอ้างไทยละเมิดข้อตกลงด้านนายนง ศากัล รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา แถลงว่าทางกระทรวงได้เชิญเอกอัครราชทูต นักการทูต และผู้แทนจากหน่วยงานสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศ เข้าตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-ไทยที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยระหว่างการเยือนสังเกตการณ์ทั้ง 4 ครั้งในเดือนนี้จนถึงวันที่ 22 ส.ค. ได้เห็นการกระทำหลายอย่างของฝ่ายไทยที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และกระทำการอื่นๆ อาทิ ตั้งรั้วลวดหนาม กั้นตาข่าย วางล้อยาง ยิงกระสุนยาง และยิงโดรนเข้ามาในดินแดนกัมพูชา รวมทั้งยังคุมขังทหารกัมพูชา 18 นาย หลังมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้วก็ตามชาวบ้านโอดยิ่งยืดเยื้อยิ่งย่ำแย่สำหรับบรรยากาศในจังหวัดริมชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดวันที่ 23 ส.ค. ที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ชาวบ้านยังไม่วางใจสถานการณ์ที่ยังตึงเครียดและพบโดรนไม่ทราบฝ่ายบินก่อกวนทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ อ.พนมดงรัก มีรายงานว่า พบกองกำลังทหารกัมพูชาเคลื่อนกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์มาประชิดชายแดนอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ลดละที่จะใช้โดรนบินเข้ามาสอดแนมและก่อกวนตลอดแนวชายแดนอยู่เช่นเดิม โดยทหารไทยสามารถยิงโดรนของกัมพูชาได้ 4 ลำ ขณะที่ผู้ทำมาค้าขายอยู่ที่ตลาดการค้าชายแดนช่องจอม ซึ่งส่วนใหญ่ปิดร้านกันหมด ต่างโอดครวญเป็นเสียงเดียวกันว่ากำลังจะอดตาย เมื่อรัฐบาลไม่ได้ช่วยเร่งแก้ปัญหาชายแดนให้จบโดยเร็ว นับวันยิ่งยืดเยื้อ ชาวบ้านยิ่งย่ำแย่ เพราะไม่มีรายได้ ไม่กล้าออกทำมาหากิน รวมถึงกรีดยาง และอยู่อย่างหวาดผวาอึ้ง ผวจ.สระแก้วอ้างเป็นพื้นที่ป่า ส่วนที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พื้นที่พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนางสมพร จันทะศร อายุ 50 ปี บ้านเลขที่ 223 หมู่ 1 บ้านหนองจาน ว่า ตนมีที่ดินจำนวน 23 ไร่ สืบทอดมาจากปู่ย่าตายาย เช่นเดียวกับนางพิมพ์ใจ แสงแก้ว อายุ 41 ปี มีที่ดินกว่า 95 ไร่ ทั้งคู่ไม่เคยได้เข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินแม้แต่น้อยมีเพียงการเสียภาษีบำรุงท้องที่ทุกปีตามกฎหมาย แม้จะรวมตัวกันร้องเรียนหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับคำตอบจากภาครัฐอย่างจริงจัง ล่าสุดหลังเจ้าหน้าที่พาคณะผู้ช่วยทูตทหาร (IOT) ลงพื้นที่ตรวจสอบ ทำให้ชาวบ้านเริ่มมีความหวังใหม่ แต่กลับต้องสะเทือนใจกับคำพูดของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ที่บอกต่อคณะผู้ช่วยทูตว่า “พื้นที่ดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ เพราะเป็นพื้นที่ป่า” สร้างความผิดหวังแก่ชาวบ้านอย่างยิ่ง เพราะในความจริง พวกตนมีเอกสารสิทธิชัดเจน ทั้ง น.ส.3 ก., ส.ค.1, น.ส.2 และ ภ.บ.ท.5 ออกโดยกรมที่ดินตั้งแต่ปี 2532 และปี 2517เล็งรวบรวมเอกสารสิทธิยื่น ผวจ.นางสมพรกล่าวทั้งน้ำตาคลอว่าต้องเสียที่ทำกินให้กัมพูชามานานกว่า 40-50 ปี เสียใจมาก เพราะที่ดินตรงนั้นเป็นแผ่นดินไทยของคนไทยจริงๆ เราอยากได้กลับคืนมาไว้ให้ลูกหลานทำกิน ที่ผ่านมาชาวบ้านเคยยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน รวมถึงทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน จนกระทั่งการลงพื้นที่ของคณะทูตทหารและผู้แทนต่างประเทศเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ทำให้ทุกคนดีใจและเชื่อมั่น โดยชาวบ้านมีแผนจะรวบรวมเอกสารสิทธิยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วอีกครั้ง เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของที่ดิน พร้อมฝากความหวังถึงอดีตผู้ว่าฯสระแก้ว ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดินให้ช่วยเร่งผลักดันและแก้ปัญหาความเดือดร้อนที่ยืดเยื้อมานานลวดหนามกั้นแดนยังอยู่ครบนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปสังเกตการณ์ที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว และถนนศรีเพ็ญ อ.โคกสูง ซึ่งเป็นแนวชายแดน หลังมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ได้รื้อถอนลวดหนามออกไปแล้ว ปรากฏว่ายังคงมีรั้วลวดหนามขึงตลอดแนวถนนดังกล่าว และบางจุดเจ้าหน้าที่ยังได้นำป้ายสัญลักษณ์รูปหัวกะโหลกสีแดงปักไว้ชัดเจนเพื่อเตือนถึงอันตราย เนื่องจากยังคงมีทุ่นระเบิดฝังอยู่ในพื้นที่ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตระเวนชายแดนยังคงตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด ผบ.ทบ.เยี่ยมทหารฐานภูมะเขือวันเดียวกัน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) พร้อม พล.ท.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ รองเสนาธิการทหารบก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ต.ธีรนันท์ นันทขว้าง ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทางทหาร เดินทางมาตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงานของฐานปฏิบัติการภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มี พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พร้อมฝ่ายเสนาธิการกองกำลังสุรนารี ผู้บังคับหน่วย และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ให้การต้อนรับ และร่วมปฏิบัติภารกิจ โดย ผบ.ทบ.รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ และการปฏิบัติงาน ณ ฐานปฏิบัติการภูมะเขือกลาง พร้อมทั้งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ฐานปฏิบัติการภูมะเขือ กล่าวขอบคุณกำลังพลทุกนายที่ทุ่มเทการปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ ให้ปฏิบัติภารกิจอย่างปลอดภัย จากนั้นเดินดูบริเวณฐานธุรการและพื้นที่ต่างๆ ผช.ทูตทหารไทยประท้วงกัมพูชาช่วงค่ำวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพบก ไทย โดยสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สถานเอกอัครราช ทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ แถลงการณ์ระบุว่าคณะกรรมการ ชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เป็นกลไกทวิภาคีด้านความมั่นคงชายแดน มิใช่เวทีสำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนสู่สาธารณชน การเผยแพร่ท่าทีที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและบั่นทอนความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เกี่ยวกับประเด็นที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในรายงานการประชุมอย่างเป็นทางการ ถือว่าไม่เหมาะสม ดังนั้นฝ่ายไทยจึงใคร่ขอให้ฝ่ายกัมพูชายึดถือบันทึกรายงานการประชุมร่วมของคณะกรรมการและฝ่ายเลขานุการทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และแก้ไขในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ต่อไป จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง หากกรมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกรุณาส่งหนังสือฉบับนี้ไปยังผู้รับสูงสุดต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่