ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายจากการดิสรัปของเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ถามว่าทำไมห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง “วอลมาร์ต” สามารถครองความเป็นหนึ่งมาตลอดหลายทศวรรษ โดยเจ้าของติดอันดับตระกูลรวยที่สุดในโลก ด้วยสินทรัพย์รวมกันกว่า 432,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่วอลมาร์ตครองแชมป์บริษัทใหญ่ที่สุดและมีรายได้มากที่สุดในโลก จ้างคนทำงานไว้ถึง 2.1 ล้านคนมรดกตกทอดจาก “แซม วอลตัน” ต้นตระกูลธุรกิจวอลมาร์ตผู้สร้างความมั่งคั่งให้ลูกหลาน ที่เป็นสูตรความร่ำรวยจนถึงปัจจุบันคือ “การสอนคุณค่าของการประหยัด และอย่าโอ้อวดว่าตัวเองมีเงิน”ความประหยัดของ “แซม วอลตัน” เป็นที่เลื่องลือมานานแล้ว ตอนได้รับจัดอันดับครั้งแรกจากนิตยสารฟอร์บส์ให้ติดทำเนียบมหาเศรษฐีของอเมริกา เมื่อปี 1985 นักข่าวแห่มาดูตัวมหาเศรษฐีหน้าใหม่ถึงออฟฟิศในเมืองเบนตันวิลล์ รัฐอาร์คันซอ สิ่งที่น่าตกใจคือ “แซม วอลตัน” ใช้ชีวิตห่างไกลมากกับคำว่าเศรษฐี เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่า ธรรมดาๆ และขับรถปิกอัพฟอร์ดสีแดงไปทำงานทุกวัน เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แสนจะธรรมดามีเพียงหมวกเบสบอลติดโลโก้วอลมาร์ตเป็นเครื่องหมาย การค้า เขายังชอบตัดผมร้านหน้าหมู่บ้านธรรมดาๆ ส่วนเหตุผลที่ไม่นิยมรถหรู แม้จะรวยติดอันดับประเทศแล้ว เพราะขี่โรลส์รอยซ์มันเท่ก็จริง แต่ไม่สามารถพาหมาตัวโปรดไปไหนมาไหนด้วยนิสัยประหยัดต้องปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็ก ในวัยเด็กของ “แซม วอลตัน” เป็นยุคที่อเมริกาเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในช่วงทศวรรษ 1930 พ่อแม่ของเขารัดเข็มขัดอย่างหนักและไม่กล้าใช้เงิน พวกเขาสอนเรื่องการรู้คุณค่าของเงินให้ลูกชายหัวการค้ามาตั้งแต่เด็ก“ตอนที่ผมยังเด็กมากๆถึงแม้จะเป็นแค่เด็ก แต่ก็รู้ว่าการทำมาหากินสำคัญแค่ไหน ใช่ว่าเด็กจะงอมืองอเท้าให้พ่อแม่เลี้ยงอย่างเดียว แต่เด็กต้องรู้จักช่วยแบ่งเบาภาระการเงินของครอบครัวด้วย”“แซม วอลตัน” เกิดที่คิงฟิชเชอร์ รัฐโอกลาโฮมา แต่ไปโตที่เมืองโคลัมเบีย รัฐมิสซูรี พ่อเป็นชาวนา ที่ต้องตกงานและติดหนี้ในช่วงเกิดการประท้วงใหญ่ทั่วอเมริกา ทำให้ราคาผลิตผลการเกษรตกฮวบลง แซมขยันทำงานพิเศษตั้งแต่เล็กๆ เริ่มจากช่วยแม่รีดนมวัวและนำไปส่งตามบ้านลูกค้า พอโตหน่อยก็ตระเวนส่งหนังสือพิมพ์ทุกเช้า เงินที่ได้จากการส่งหนังสือพิมพ์และรับจ๊อบทำงานสารพัดสามารถส่งเขาเรียนจนจบด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมิสซูรี แม้ภายหลังร่ำรวยแล้ว เขาก็สั่งให้ลูกๆมาทำงานที่ร้านขายของชำ และส่งหนังสือพิมพ์เพื่อหาค่าขนมเอง“อย่าคิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ในฐานะคนรวย” คำสอนของพ่อยังคงดังกึกก้องในหัวลูกๆทุกคน ตั้งแต่เด็กลูกทั้ง 4 ของ “แซม วอลตัน” ไม่เคยมีชีวิตแบบคุณหนู ลูกๆทุกคนต้องมาช่วยงานที่ร้านขายของชำทุกวันหลังเลิกเรียน และส่งหนังสือพิมพ์ทุกเช้าเพื่อหาค่าขนมเพิ่มในช่วงปิดเทอม ยกเว้นหน่อยคือลูกสาวคนเล็ก พ่อมอบหน้าที่ให้ประจำอยู่เคาน์เตอร์ป๊อปคอร์นกับลูกกวาด ไม่ต้องขัดพื้นและจัดเรียงของเหมือนพี่ชายทั้งสามเหตุผลสำคัญที่ทำให้ “วอลมาร์ต” ประสบความสำเร็จ เพราะแซมถือคติหั่นค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ไม่จำเป็น เพื่อคืนกำไรให้ลูกค้า เขาเลือกทำธุรกิจใหญ่ในเมืองเล็กๆ เน้นขายมาก แต่กำไรน้อยหน่อย ทำให้สามารถขายของได้ถูกกว่าร้านค้าทั่วไป เนื่องจากค่าเช่าที่ดินและค่าใช้จ่ายถูกกว่าในเมืองใหญ่ๆ แม้แต่สำนักงานใหญ่ของ“วอลมาร์ต” ก็จงใจตั้งอยู่ในเมืองเบนตันวิลล์ รัฐอาร์คันซอ ซึ่งเป็นเมืองยากจนที่สุดของอเมริกา เนื่องจากต้องการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทั้งหมด เพราะหากไปตั้งในเมืองใหญ่ๆจะมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่วบริษัทยังมีกฎเหล็กว่าห้องผู้บริหารควรมีขนาดเล็กแบบพอเพียง โดยเฉพาะห้องประธานบริษัทต้องเล็กที่สุด และไม่จำเป็นต้องตกแต่งให้หรูหราสวยงาม เวลาผู้บริหารเดินทางไปดูงานที่อื่นจะต้องขึ้นเครื่องบินชั้นประหยัดเท่านั้น และพักโรงแรมห้องละ 2 คน นโยบายเหล่านี้ยังคงศักดิ์สิทธิ์มาถึงปัจจุบัน แม้ลูกชายคนโตคือ “ร็อบสัน วอลตัน” จะวางมือไปแล้ว และส่งไม้ต่อตำแหน่งประธานบริษัทให้ลูกเขย “เกร็ก เพนเนอร์” เข้ามารับช่วงแทนเมื่อปี 2015 บริหารธุรกิจควบคู่กับซีอีโอมืออาชีพลูกๆบ้านนี้ไม่ทะเลาะแย่งมรดกกัน เพราะพ่อสอนตลอดว่า เกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีแต่ไม่มีสิทธิ์ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ให้ตัดอภิสิทธิ์ความเป็นคนรวยทิ้งไป และหาเงินให้ได้เพื่อรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่จากรุ่นสู่รุ่น.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม