สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 “ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง” โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ค่าฝุ่นยังเกินมาตรฐานระดับสีแดง และสีส้มในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอันเป็นปัญหาซ้ำซากที่ต้องหันมาสนใจในการแก้ไขกันอย่างจริงจังเร่งด่วนสำหรับการแก้ปัญหา “ฝุ่น PM 2.5 อย่างมีประสิทธิภาพนั้น” จำเป็นต้องเริ่มจากการรู้แหล่งกำเนิดของฝุ่น เพราะเมื่อทราบต้นตอลักษณะของฝุ่นแล้วก็จะสามารถวางแผนกำหนดมาตรการในการควบคุม และจัดการได้อย่างเหมาะสม ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผอ.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ วช. บอกว่าตามปกติในชั้นอากาศมักมีสารมลพิษเจือปนตลอดเพียงแต่เป็นมลพิษระดับต่ำ “ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ” แต่ด้วยมนุษย์ทำกิจกรรมจนนำมาซึ่งการเกิดมลพิษทางอากาศอันตรายจาก 2 ปัจจัย คือปัจจัยแรก...“กิจกรรมการปล่อยมลพิษทางอากาศ” ไม่ว่าจะเป็นการเผาไหม้ การปล่อยมลพิษจากโรงงาน หรือรถยนต์ปล่อยควันจากท่อไอเสียออกมาลอยสู่ชั้นบรรยากาศ สังเกตเห็นจากจราจรติดขัดมากๆอากาศบริเวณนั้นมักจะยิ่งขมุกขมัวไปด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กๆ ก่อเกิดขึ้นอย่างมากมาย เมื่อปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศก็สอดรับ “ปัจจัยด้านอุตุนิยมวิทยา” ส่งผลให้ฝุ่นไม่สามารถระบายออกจากพื้นที่ได้ “เกิดการสะสมลอยในชั้นบรรยากาศ” ดังนั้นมลพิษทางอากาศล้วนสัมพันธ์ถูกควบคุมจาก 2 ปัจจัยนี้ถ้าหากมาดู “ลักษณะภูมิศาสตร์พื้นที่เกิดฝุ่น” ถ้าดูตามแผนที่ประเทศไทยในเชิงภูมิประเทศจะเห็นลักษณะเป็นแนวภูเขาสลับแอ่งกระทะที่เรียกว่า “แอ่งเขตภูมิศาสตร์อากาศ” อย่างเช่น “ภาคอีสาน” จะเป็นที่ราบสูงสลับภูเขาเล็กน้อย “ภาคกลาง” มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะจำนวนมากจนถูกเรียกว่าแอ่งพื้นที่ราบภาคกลางแถมแอ่งนี้ยังเชื่อมต่อเนื่องกับ “ประเทศเพื่อนบ้าน” จนเป็นตัวกำเนิดก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นรุนแรง “ภาคเหนือ” ก็มีลักษณะภูเขาสลับแอ่งอยู่เต็มไปหมดกลายเป็นตัวส่งเสริมให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 รุนแรงทุกปีหากมาดูพื้นที่เสี่ยงเกิดฝุ่นโดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรอย่าง “ภาคกลาง” มีการปลูกข้าวจำนวนมาก “ภาคอีสาน” ก็ปลูกอ้อย-ข้าวโพดอยู่ไม่น้อย “ทำให้เห็นจุดความร้อน (Hotspot) กระจายอยู่ทั่ว” สิ่งนี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดปัญหาฝุ่นรุนแรงที่มิใช่เกิดเฉพาะไทยเท่านั้นแต่ประเทศเพื่อนบ้านก็พบจุด Hotspot จำนวนมากเช่นกัน เพราะปกติเดือน ม.ค.ของทุกปี “มักจะเป็นช่วงฤดูการเผาของประเทศเพื่อนบ้าน” อย่างล่าสุดหากดูข้อมูลการระบายอากาศใน กทม.ตั้งแต่วันที่ 21-26 ม.ค.2568 “มีเกณฑ์ไม่ดี–ลมกำลังอ่อน” ทั้งยังประกอบกับการเกิดอินเวอร์ชันใกล้ผิวพื้นต่อเนื่อง ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัดสิ่งนี้ทำให้เห็นว่า “แหล่งกำเนิดฝุ่นสัมพันธ์กับสภาพอุตุนิยมวิทยาชัดเจน” แล้วถ้าหากตรวจสอบค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเชิงลึก “มีแหล่งกำเนิดในการเดินทางมาจากพื้นที่ใด” ด้วยการใช้แบบจำลองมาช่วยคำนวณก็พบแหล่งกำเนิดมาจาก 2 ส่วน คือ 1.แหล่งกำเนิดจากภาคอีสาน และ 2.แหล่งกำเนิดจากประเทศเพื่อนบ้านอันเป็นฝุ่นข้ามแดนเคลื่อนผ่านมาใน จ.สระแก้ว ระดับความสูง 1,500 เมตร และข้ามผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เข้ามาใน จ.ฉะเชิงเทรา ก่อนลดระดับความสูงลงเข้ามาทางด้านทิศเหนือของ กทม.แล้วปะทะกับแหล่งกำเนิดในพื้นที่ “ก่อเกิดฝุ่นสะสมหนาแน่น” ขณะที่ทางด้านตะวันออกของ กทม. ค่าฝุ่นกลับเบาบางประเด็นว่า “ฝุ่น PM 2.5 ใน กทม.มิได้สูงตลอดทั้งวัน” ตามการศึกษาข้อมูลในเดือน ม.ค.2566 ฝุ่นมักเริ่มสะสมตอนกลางคืนมาจากแหล่งกำเนิดอย่าง “การอนุญาตให้รถบรรทุกเข้ามาหลัง 21.00 น.” ทั้งยังมีการเผาที่โล่ง ส่วนใหญ่มักเลือกเผาในช่วงเย็นๆ เพราะเป็นช่วงหลบหลีกการตรวจจับความร้อนได้ดีนอกจากนี้ยังมีฝุ่นจากการเผาพื้นที่อื่นถูกพัดพามาโดยลมจากทิศตะวันออกของประเทศไทยก็มา “สะสมในช่วงกลางคืน” แล้วต่อเนื่องเชื่อมโยงมาตอนเช้า “ประชาชน” เริ่มออกจากบ้านเดินทางไปทำงานปริมาณการจราจรหนาแน่นในช่วงเช้าเจอกับ “สภาพอุตุนิยมวิทยา” จากอากาศปิดของการหักกลับของอุณหภูมิ สาเหตุให้อากาศไม่อาจลอยตัวแนวดิ่งและแนวราบได้ปกติ “ค่าความเข้มข้นฝุ่นก็เพิ่มขึ้นช่วง 10.00 น.” ก่อนลดความเบาบางลงแล้วจะมาหนาแน่นอีกในช่วงเย็น “ประชาชน” เลิกงานเดินทางกลับบ้านส่วนการแก้ปัญหา “ฝุ่น PM 2.5 กทม.” ต้องจัดการในช่วงการสะสมตั้งแต่ตอนกลางคืนอย่างกรณีโรงไฟฟ้าแม่เมาะเคยเจอฝุ่น แบบเดียวกัน “สามารถแก้ได้ด้วยช่วงสภาพอุตุนิยมวิทยาไม่ดี” ก็ลดการผลิตตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า “การสะสมฝุ่นก็เบาบางลง” ดังนั้นข้อมูลแหล่งกำเนิดฝุ่นมีส่วนสำคัญต่อการจัดการให้มีประสิทธิภาพได้เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถออกแบบมาตรการ และนโยบายควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นได้ “แก้ตรงจุดที่คัน” เหตุนี้การอนุญาตรถบรรทุกเข้า กทม.หลัง 21.00 น. เป็นเพียงการแก้ปัญหาจราจร “มิได้แก้ฝุ่น” หากปล่อยให้รถเข้ามามากก็เกิดปัญหาฝุ่นเยอะ ดังนั้นในช่วงวิกฤติฝุ่น PM 2.5 ไม่ควรอนุญาตให้รถบรรทุกเข้ามาในพื้นที่ กทม.ขณะที่ จรูญ เลาหเลิศชัย นักวิจัย และอดีต ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า ปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาที่ส่งผลต่อค่าฝุ่น PM 2.5 จากความเสถียรของชั้นบรรยากาศ และความแตกต่างของอุณหภูมิที่ความสูงระดับต่างๆ ของชั้นบรรยากาศ มีผลต่อการเคลื่อนที่ของฝุ่นเข้าไปแทรกหรืออยู่ในชั้นบรรยากาศ เมื่อขอบเขตของบรรยากาศที่ไม่เสถียรซึ่งมีชั้น mixed layer สูงมากจะเกิดในหน้าร้อน อากาศแจ่มใส ไม่มีเมฆ “การแผ่คลื่นความร้อน” ทำให้บรรยากาศใกล้ผิวดินร้อนจะลอยตัวขึ้นบนแบบ หมุนวนพาฝุ่นไปด้านบนได้สูง ตรงกันข้ามการกระจายฝุ่นเข้าไปแทรกในบรรยากาศทำได้ไม่ดี “ในฤดูหนาวมีเมฆมาก” เกิดการผกผันของอุณหภูมิทำให้ขอบเขตของชั้นบรรยากาศเป็นแบบเสถียรจากบรรยากาศระดับที่ใกล้พื้นผิวดินมีอุณหภูมิต่ำกว่าด้านบน “อากาศเย็น” จะจมลงแทนที่จะลอยตัวขึ้นจนไม่เกิดการเคลื่อนที่แบบหมุนวนชั้น mixed layer จะลดลง ดังนั้นเมื่ออากาศเสถียรนิ่งเกิดการกระจายตัวของฝุ่นได้น้อยเช่นกันนี่เป็นปัจจัยส่งผลต่อค่าฝุ่น PM2.5 “เกิดเป็นวัฏจักรธรรมชาติตามรอบปี” ที่ไม่อาจควบคุมได้เสนอผ่านเวที NRCT Talk ฝุ่นมาจากไหน วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีคำตอบ จัดโดย วช.เพื่อประชาชนจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องเข้าใจสาเหตุผลกระทบปัญหาฝุ่นผ่านมุมมองด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม. คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม