การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวสหรัฐฯของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนเพราะจากที่เคยสงบปากสงบคำ ไม่กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ก็กลายเป็นเปิดไพ่กันออกมาเรื่อยๆ ว่าในความเป็นจริงนั้นมีความ รู้สึกเช่นไร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสัปดาห์ก่อน ที่รัฐบาลสโลวะเกีย (ติดกับพรมแดนทางตะวันตกของยูเครน) ออกมาพูดกันตรงๆว่า ชักจะทนไม่ไหวแล้วกับผู้นำยูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกีถึงขั้นข่มขู่ว่ารัฐบาลสโลวะเกียอาจพิจารณา ดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อ “ตอบโต้” ยูเครน หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายทางพลังงาน รัฐบาลยูเครนไม่ยอมต่อสัญญาการส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียผ่านท่อก๊าซในยูเครนที่กำลังจะหมดอายุในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้สโลวะเกียไม่ได้รับก๊าซจากรัสเซียอีกต่อไปจู่ๆแหล่งพลังงานของสโลวะเกียตกอยู่ในสภาพ “ตัวประกัน” ทั้งที่แต่ก่อนก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ก๊าซของรัสเซียถูกส่งผ่านท่อที่ลากผ่านดินแดนของยูเครนมาตลอด มาคราวนี้นึกอะไรขึ้นมาถึงไม่ต่อสัญญาเอาดื้อๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่ต้องการแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากสโล วะเกีย โดยใช้เรื่องพลังงานมาเป็นเครื่องมือต่อรองที่สำคัญนายโรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย ถึงขั้นกล่าวหาว่า คุยกันรอบล่าสุดเราได้รับข้อเสนอที่ไร้สาระจากผู้นำยูเครนว่า หากสโลวะเกียช่วยโหวตรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต “ก็จะยกสินทรัพย์ของรัสเซีย (ที่ยูเครนอายัดไว้) มูลค่า 500 ล้านยูโร หรือกว่า 17,840 ล้านบาทให้กับท่านนายกฯ” ซึ่งแม้จะเป็นคำพูดกำกวมแต่เชื่อว่าไม่ได้หมายถึงยกทรัพย์สินให้ประเทศสโลวะเกีย แต่เป็นดีลลับส่วนตัวกับนายกฯจนเป็นที่มาของข้อสังเกตว่างานนี้ยูเครนเสียมิตรไปอีกหนึ่งแล้วหรือไม่ เพราะสโลวะเกียก็เริ่มตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของผู้นำยูเครน (แบบเดียวกับที่รัสเซียพูดมาตลอด) รวมถึงวิจารณ์ว่ายูเครนกำลังกลายเป็นรัฐซอมบี้ ที่พึ่งพาชาติตะวันตกและยุโรปอย่างเต็มรูปแบบ และชี้ว่าเรื่องนี้สามารถลุกลามบานปลายกลายเป็นความขัดแย้ง ที่ใหญ่หลวงระหว่างยูเครนและสโลวะเกีย.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม