ทำเอาหลายคนยกให้เป็น “ปีทอง” หลังนักแสดงหนุ่ม “อัด-อวัช รัตนปิณฑะ” เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางการแสดงจนผลงานเป็นที่ยอมรับ การันตีความสามารถด้วยรางวัลหลากหลายสาขาและยังเข้าถึงบทบาทจนเข้าถึงใจคนดู ล่าสุดอัดเจองานสุดท้าทายอีกครั้งในบทหมอก ซอมบี้ในหนังซอมบี้สัญชาติไทย “ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ” เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้วเมื่อ 1 สิงหาคม ทำเอาเจ้าตัวได้ตกตะกอนในชีวิตหลายอย่าง เลยชวนอัดมาคุยถึงมุมมองและการเติบโตกว่าจะถึงวันนี้เริ่มจากบทบาทใน “ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ”?“ผมรับบทเป็นหมอกครับ ซึ่งคาแรกเตอร์ของเค้าจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง เป็นเด็กช่างฝัน เป็นคนมีจุดยืนในชีวิตค่อนข้างชัดเจนว่าเค้าต้องการอะไรหรือไม่ต้องการอะไรในชีวิต แล้วก็เป็นคนที่ไม่ได้อินในเรื่องของการเป็นทหาร ซึ่งแตกต่างจากพี่ชายของเค้า ก็คือเมฆ ซึ่งรับบทโดย นนกุล-ชานน สันตินธรกุล ก็เป็นสองพี่น้องที่คนละขั้วความคิด คนหนึ่งจะอินกับการเป็นทหาร รู้สึกว่าการได้ปกป้องชาติคือสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันตัวน้องไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนั้น แค่อยากใช้ชีวิตของเค้าแบบง่ายๆไป เรื่องนี้มันก็มีความยากหลายอย่าง ด้วยความที่พอมันเป็นหนังแนวสยองขวัญ ดราม่า แล้วก็เป็นหนังซอมบี้ ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ยากอยู่แล้ว เพราะเราไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตจริง ไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรง เราเห็นจากหนังหรือซีรีส์ในอดีตที่มันเป็นซอมบี้ เพราะฉะนั้นพอเราต้องมาเล่นจริงๆ มันคือการที่เราจะต้องใช้เรื่องของจินตนาการค่อนข้างเยอะ ด้วยโจทย์ที่พี่โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับ อยากให้เป็นมันก็คือความท้าทายตรงที่เค้าอยากทำซอมบี้ที่มันแตกต่างไปจากซอมบี้ที่เราเคยดูทั่วไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาหน้าตาเป็นยังไงเพราะฉะนั้นมันเลยเป็นชาเลนจ์ว่าระหว่างที่เราถ่ายหรือค้นหาตัวละคร มันคือการเรียนรู้ไปด้วยกัน ตอนถ่ายทำเราสนุก เป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิตที่ไม่เคยได้เล่นอะไรแบบนี้ สุดท้ายพอเราต้องเล่นเป็นซอมบี้ในเรื่อง มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าพอเราอยู่ร่างนั้นนานๆเราก็คิดถึงช่วงเวลาที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน มันสะท้อนกลับมาว่า ถ้าวันหนึ่งเราอยู่ในสภาพนี้จริงๆเราจะโหยหาความเป็นมนุษย์มากขนาดไหน เพราะตอนนั้นที่เราเล่น พอมันต้องอยู่ในสภาพนั้นด้วยเมกอัปด้วยเอฟเฟกต์ มันทรมานนะ (หัวเราะ) ทรมานทั้งกายทั้งใจ มันอึดอัด มันรู้สึกนี่เกิดอะไรขึ้น บางทีพอเราล้างหน้าหลังถ่ายเสร็จ พอเห็นตัวเองกลับมาเป็นปกติ ก็รู้สึกว่าเฮ้ย เราเป็นมนุษย์ มันทำให้เรากลับมามองชีวิตเรามากขึ้นว่าตอนนี้ที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำหรือยัง ได้บอกรักคนที่เราอยากบอกหรือยัง เราได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แบบที่เรารู้สึกว่าเราจะไม่เสียดายหรือยัง มันสะท้อนกลับมา” การเล่นเป็นซอมบี้ทำให้เราตกตะกอนถึงเรื่องนี้?“ผมว่ามันก็มีผล เพราะตอนที่ถ่ายก็ทรมาน (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าหนึ่ง คือเรื่องเมกอัป เราอยู่กับสิ่งนี้ทั้งวัน มันไม่มีความสบายตัวครับ ทุกอย่างมันไม่มีอะไรสบายเลย แล้วต้องไปเล่นเป็นซอมบี้ที่เรามีความรู้สึกในหลายๆเลเวลของตัวละคร มันเลยรู้สึกว่าพอเราไม่ได้เป็นมนุษย์ปกติ เราต้องอยู่ในร่างนี้ เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมัน มันไม่ง่ายเลย ทำให้พอเราจบกองปุ๊บ แล้วเรากลับสู่ร่างปกติ มันก็ทำให้เราตกตะกอนว่าวันที่เราได้เป็นมนุษย์อยู่ตอนนี้ เราเห็นคุณค่า ทำให้เราเห็นอีกมิติหนึ่งมากกว่า”ร่วมงานกับ นนกุล–ชานน เป็นไงบ้าง?“กับนนกุลรู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยอยู่ค่ายเดียวกัน แต่ว่าเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาส มาแสดงด้วยกัน เคยมีที่ผมทำเบื้องหลัง แล้วเค้าอยู่ ข้าง หน้า พอได้มาเล่นเป็นพี่น้องที่มีความคิดคนละขั้ว คนละแบบ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับชีวิตจริงที่เราเป็นคนละแบบ คนละสไตล์ ในแง่การแสดงมันก็ใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ เราสามารถคีปความเป็นคนละขั้วด้วยตัวตนของเราทั้งคู่ได้ แต่เราก็ต้องมาหาจุดเชื่อมความสัมพันธ์ ว่าจริงๆแล้วเราเป็นพี่น้องที่รักกัน แต่ว่าวิธีการแสดงออกมันตรงกันข้ามกับความรักที่มีต่อกัน อันนี้เป็นสิ่งที่เราได้มาเรียนรู้ร่วมกันตอนเวิร์กช็อป ผมว่ามันคือความเป็นห่วงกันนั่นแหละ แต่ว่ามันเป็นความเป็นห่วงที่ไม่ได้แสดงออกตรงๆ อยากฝาก ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ เป็นหนังที่ผู้กำกับและทีมงานนักแสดงทุกคนเต็มที่มากๆ เป็นหนังสยองขวัญ ดราม่า ซอมบี้ ที่คิดว่าหลายๆคนคงจะได้สัมผัสความสนุก ความสยอง ความดราม่าในหนังเรื่องนี้ ก็ครบรส” จริงๆการทำงานมันง่ายขึ้นมั้ย พอเรามีประสบการณ์มากขึ้น?“แต่ละเรื่องบทมันก็แตกต่างกันไป มันก็จะมีชาเลนจ์แตกต่างกันไปแต่ผมรู้สึกว่าด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น มันก็ทำให้เรามีสติในการทำงานมากขึ้น แล้วเราไม่มองว่ามันยาก แต่เรามองว่ามันคือชาเลนจ์เลยเปลี่ยนจากคำว่ายาก เป็นเราจะทำยังไงให้มันเกิดขึ้น ทำยังไงให้มันดีที่สุด ทำยังไงให้ตัวละครออกมามีชีวิตและสมจริงมากที่สุด ทำยังไงให้รู้สึกว่าทำงานแล้วเต็มที่และมีความสุขกับงานนั้นมากกว่าที่จะตั้งคำว่ายากเป็นจุดเริ่มของงาน สำหรับผมคือเราอยู่กับตัวละคร ที่เหลือมันคือการมีสติอยู่กับตัวเอง”ในเส้นทางสถานการณ์ที่เจอแต่ละครั้งมีท้อบ้างมั้ย?“ก็ตามปกติของมนุษย์ครับ คือตลอดเส้นทางมันก็สอนอะไรหลายๆอย่างมากๆ หมายถึงว่าชีวิตมันขึ้นและลงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาที่มันขึ้นและลง ผมรู้สึกว่าโอเค เราต้องรู้จักตัวเอง ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับวันที่เราสมหวัง วันที่เราผิดหวังตลอดเวลา วันที่เราถูกเลือก วันที่เราไม่ถูกเลือก เราก็ต้องคิดต่อไปว่าช่วงเวลาที่เราไม่มีงาน เราจะอยู่กับมันยังไง เราต้องหาอะไรทำ เพื่อให้สิ่งนี้มันยังเป็นอาชีพให้เราในระยะยาวในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้เราได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เรารัก แต่เราจะอยู่กับมันยังไง ผมอยากเป็นนักแสดงที่วันหนึ่งผมอยู่ได้ด้วยสิ่งนี้ อาชีพนี้จริงๆ เล่นหนัง เล่นซีรีส์ แล้วค่าตอบแทนมันสมเหตุสมผลอยู่ได้เรื่อยๆ ผมอยากทำทีละเรื่องให้เต็มที่ แล้วก็อยู่ได้ด้วย เหมือนที่ต่างประเทศเขารอว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ อยากไปต่อในระดับโกลบอล มันอาจจะยากกว่าในแง่ที่แล้วเราจะบาลานซ์ตัวเองยังไงให้อยู่ตรงนี้ได้แบบสบายใจ อย่างชื่อเสียง เราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งมันจะมาเมื่อไหร่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราตามหา ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้ที่สุด ถ้ามันจะมามันคงมาเอง แต่เป้าหมายของเราคืออยากทำงานที่ดี เป็นนักแสดงที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆให้ได้ดูงานแสดงเราแล้วเค้าชื่นชอบในผลงาน ในตัวละครที่เราเล่น”ดังก็ได้ ไม่ดังก็ได้ใช่มั้ยสำหรับเรา? “ได้หมดเลยครับแต่ขอให้ได้ทำสิ่งที่ผมรัก ขอให้มันอยู่รอดได้” การที่เราได้หลายรางวัลจากภาพยนตร์เรื่องดอยบอย (DOI BOY) เรานิยามมันว่าอะไร?“ผมนิยามว่ามันคือรางวัล คือโบนัสจากความสำเร็จแรกที่เราทำไป ความสำเร็จแรกของผม คือผมได้มาเล่นเรื่องนี้จากความรู้สึกจริงๆว่าเราอยากเล่นอยากถ่ายทอดบทนี้ ความสำเร็จต่อมาคือตั้งแต่ตอนที่เราถ่ายยันถ่ายจบ มันมีความสุขมากกับการได้เป็นตัวละคร เราไม่รู้สึกเครียดเลย เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงานทุกคน เป็นกองที่ผมประทับใจที่สุดในชีวิตกองหนึ่งเลยนั่นคือความสำเร็จแล้ว สุดท้ายพอหนังออกมา มันพาไปสู่รางวัลมันคือโบนัสสำหรับผม เพราะเราไม่ได้ตั้งเป้าตั้งแต่แรกว่าเราต้องได้รางวัล หนังเรื่องนี้คือโอกาสที่เข้ามาแล้วเป็นโอกาสที่เราอยากได้มากที่สุด ความสำเร็จคือเค้ามาจุดประกายมาให้ชีวิตใหม่เราตั้งแต่แรก ในการกลับมาเป็นนักแสดงอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นครับ มันทำให้ผมกลับมาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในวัย 27 ปี คือผมรู้สึกว่ามันทำให้เรารู้ว่าเรารักสิ่งนี้จริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะทิ้งมันไปแล้วก็ตาม มันก็สอนให้ผมกลับมาเห็นคุณค่าตัวเองมากขึ้น มันทำให้ผมกลับมามีความเชื่อมั่นในตัวเอง รักตัวเองมากขึ้น เวลาเราเชื่อและรักตัวเองมากพอ เราจะมีพลังในการส่งต่อสิ่งอื่นๆได้มากมาย ผมว่าการไปเป็นนักแสดงมันคือการเข้าใจมนุษย์ การที่ไม่ตัดสินมนุษย์ การมีความเข้าอกเข้าใจในทุกๆรูปแบบ เรายอมรับความหลากหลายและโอบกอดมันไว้ มันเลยทำให้ทุกคาแรกเตอร์ที่ผมเล่น ผมต้องเข้าใจและเรียนรู้ชีวิตของเขา แล้วสุดท้ายมันคือการแชร์จิตวิญญาณ บางอย่างร่วมกัน เค้าก็จะสอนอะไรกลับมาให้ผมในฐานะมนุษย์เสมอ อันนี้คือสิ่งที่ทำไมผมถึงรักการแสดง และรู้สึกอยากทำอาชีพนี้ต่อไป”คนมองว่าปีนี้ปีทองเรา เราคิดยังไงกับคำนี้?“เวลาคนพูดแบบนี้ใจหนึ่งมันก็รู้สึกว่า ไม่ได้อยากมีปีทอง อยากให้มันมีทุกปี (หัวเราะ) อยากให้มีทุกปีแบบมั่นคง ช่วงนี้เวลาคนพูดว่า อุ๊ย เห็นหน้าบ่อย เล่นเยอะจังเลย แต่ทุกคนไม่รู้ว่าช่วงนี้ว่างงานอยู่ มันแค่จังหวะพอดีกัน แต่ว่าก็อยากให้คนรับรู้ว่ามันยังอีกไกลนะ กว่าที่มันจะไปสู่จุดนั้น การที่คุณเห็นคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง มันไม่ได้การันตีว่าเค้าจะมีความมั่นคงในอาชีพจริงๆ เบื้องหลังมันยังมีอะไรที่ยังต้องต่อสู้อีกเยอะมาก แล้วตัวผมเองก็ต้องพยายามบาลานซ์ตัวเองและวิ่งหาโอกาส มันมีหลายอย่างที่ไม่ได้ง่ายและสวยงามอย่างที่มองแค่ข้างนอก ต่อให้ทุกคนจะบอกว่าได้รางวัล 1 2 3 4 มันดูยิ่งใหญ่มาก จริงๆแล้วชีวิตของการเป็นนักแสดงก็ยังต้องต่อสู้ ต้องเป็นคนที่ถูกเลือกและไม่ถูกเลือกอยู่เสมอ มันยังต้องไปอีกไกลเลยครับ” เป้าหมายเราคือระดับโกลบอล ตอนนี้เข้าใกล้ หรือยัง?“ความฝันวันหนึ่งอยากร่วมงานกับผู้กำกับหรือได้ไปอยู่ในหนังต่างประเทศ ก็อยู่ในขั้นตอนที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปครับผม ก็เตรียมตัวว่าควรจะทำอะไรบ้าง เช่น ควรฝึกภาษา ก็ฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน มันเป็นเหมือนการเตือนตัวเองว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ที่เหลือผมก็เรียนแอ็กติ้งเพิ่ม เตรียมตัวในด้านอื่น เรียนเต้น เล่นโยคะ ทำอะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าเราพร้อมทั้งกายและใจ อย่างเต้น ร้องเพลง ใครจะไปรู้วันหนึ่งอาจจะมีบทที่เราต้องเต้น ต้องร้องเพลงหรือเปล่า มันก็เลยต้องกลับมาคิด ว่าพอเราเป็นนักแสดง ณ วันหนึ่งเราจะไปโกลบอล ตอนนี้เรามีจุดอ่อนอะไรที่ยังไปไม่ถึง ก็เตรียมตัวไปเรื่อยๆ อย่างนี้เรามีหมุดหมายของเราว่าเราต้องเดินไปทางไหน ก็พยายามจะหาคอนเนกชันต่อไป ถ้าเริ่มแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จก็จะได้รู้ว่ามันไปไม่ถึง ก็ยอมรับมัน แต่ต้องเริ่มก่อน”ถ้าวันหนึ่งมันไม่สมหวัง เรายอมรับมันได้? “ได้ครับ ผมว่าชีวิตเรามันผิดหวังมาจนเรารู้สึกว่าผิดหวังอีกรอบมันจะเป็นอะไร สุดท้ายการที่เรามีเป้าหมาย มีความฝัน มันก็เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งถ้ามีวินัยในการฝึกและพัฒนาตัวเอง มันมีแต่ดีกับดีครับ ถ้าความฝันมันจะไม่เป็นจริง ก็แค่อีกหนึ่งความผิดหวังในชีวิต เราก็ได้เรียนรู้แล้วก็หาทางใหม่ ชีวิตมันก็แบบนี้ครับ”ตัวเราในวัย 28 ปี ตกตะกอนกับชีวิตและผ่านมาหลายเหตุการณ์ รู้สึกว่าเราโตกว่าวัยมั้ย?“ก็รู้สึกครับ (หัวเราะ) บางทีก็รู้สึกว่าโตกว่าวัยไปเยอะพอสมควร แล้วส่วนมากเพื่อนๆผมที่สนิท ทุกคนจะอายุ 30 ปลายๆถึง 40 ปี แต่ไม่ใช้คำว่าแก่ แค่รู้สึกโตกว่าวัยถูกแล้ว ด้วยสิ่งที่เราเจอมาในอดีต หรือการตกตะกอนความคิด เราก็รู้สึกว่าเราโตแล้ว”มีมุมน่ารักมุ้งมิ้งหรือชิลๆบ้างมั้ย? “ก็มีนะครับ ผมก็มนุษย์ปกติ (หัวเราะ) ก็มีมุมบ้าๆ บอๆ เวลาอยู่กับเพื่อนเราก็เป็นอีกโหมดหนึ่ง เราก็ไม่ได้จริงจังตลอดเวลา” ดูเป็นคนจริงจังมีเรื่องอะไรที่ปล่อยจอยบ้างมั้ย? “ยากจังเลย แค่คิดว่าจะกินอะไรยังยากเลย (หัวเราะ) เอาจริงๆผมเป็นคนใช้ความรู้สึกเยอะ อย่างเรื่องความรัก เวลาเรารู้สึกว่า เราก็รู้สึก เราใช้หัวใจในการดำเนิน แต่ในขณะเดียวกันพอใช้หัวใจนำไปก่อน สุดท้ายมันก็ต้องกลับมาใช้หัว แต่เรื่องความสัมพันธ์กับคน เรื่องเซ้นส์ เราจะใช้หัวใจก่อน ในการทำความรู้จักคน ไม่ได้ใช้ความคิด เราใช้หัวใจ แต่ว่าพอรู้จักกันระดับหนึ่งแล้ว เราก็จะรู้ว่าโอเค คนนี้เท่านี้แล้วกัน (หัวเราะ)”.เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัยคลิกอ่าน “คนดังนั่งคุย” เพิ่มเติม