ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุค AI อย่างแท้จริง!จากที่เมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ เพิ่งมีการเปิดตัวของ generative AI ชื่อดังคือ Chat GPT ที่สร้างความฮือฮาและยังสร้างแรงกระเพื่อมจนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ต่อมาจะมี generative AI ตัวใหม่ๆที่กำลังแข่งกันอยู่ในปัจจุบันอย่าง Gemini และ Claude ที่ฉลาดและเก่งกว่า Chat GPT เป็นต้นถึงวันนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หน่วยงานหลักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ได้ทำหน้าที่วิเคราะห์ความก้าวหน้าและเทรนด์ของเทคโนโลยีที่กำลังจะส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคนในวงกว้าง“สวทช.ได้วิเคราะห์การมาถึงของ 10 เทคโนโลยีใหม่ที่จะส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคน เพื่อให้เกิดการเตรียมความพร้อมในการรับมือ โดย 10 เทคโนโลยีใหม่ครึ่งหนึ่งเป็น digital technology และมี AI ร่วมอยู่ด้วยมากบ้าง น้อยบ้าง ในทางตรงบ้าง ในทางอ้อมบ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาถึงยุคของ AI แล้ว” ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผอ.สวทช.ระบุ ดังนั้น AI จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป“ใน 10 เทคโนโลยีใหม่ มีกลุ่มของ AI ชัดเจน 4 เทคโนโลยี คือ 1.การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอไอเสริม (AI–Augmented Software Development) โดยความก้าวหน้าของ generative AI และ Machine Learning เปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถนำ AI มาใช้ในกระบวนการออกแบบ สร้าง ทดสอบรวมไปถึงการวางตลาดแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ต่างๆอย่างรวดเร็วมากขึ้น ประมาณการกันว่าจะมีการยกระดับผลิตภาพ (productivity) ของการทำซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันใหม่ๆราว 35-45% ไปพร้อมๆกับการลดต้นทุนได้ถึง 20% โดยใช้เวลาที่สั้นลงอีกด้วย ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2571 วิศวกรซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ในองค์กรราว 75% จะใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ด 2.เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติดเอไอ (AI Wearable Technology) ที่ปัจจุบันเริ่มมีอุปกรณ์สวมใส่บนร่างกายที่ใช้เทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย เพื่อตรวจจับอิริยาบถและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รวมไปถึงท่านอน การล้มและตำแหน่งที่เกิดเหตุภายในอาคาร พร้อมแสดงผลและแจ้งเตือนผู้ดูแลแบบเรียลไทม์ 3.เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies, PETs) ในหลายประเทศมีการนำเทคโนโลยี PETs มาให้บริการแล้วในวงการการเงิน สุขภาพและทรัพยากรบุคคล ขณะที่ของไทย สวทช.ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ให้ใช้กับแพลตฟอร์ม loT สำหรับภาคอุตสาหกรรมแล้ว และ 4.หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย (Security Robot) ปัจจุบันมีการใช้งานหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยแล้วในหลายประเทศ ตลาดโลกของหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย ประเมินกันว่าอาจจะสูงถึง 71,800 ล้านเหรียญ ในปี 2570 โดยปัจจัยกระตุ้นสำคัญคือความต้องการเทคโนโลยีนี้ในทางทหารและการป้องกันประเทศเป็นหลัก ขณะที่ของไทยกำลังมีการพัฒนาหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด” ผอ.สวทช.กล่าว ขณะเดียวกันเทคโนโลยี AI ยังเข้าไปมีบทบาทใกล้ตัวประชาชนในด้านสุขภาพอีกด้วย คือ 1.กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle) หรือกล้ามเนื้อจำลอง สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบการทำงานของกล้ามเนื้อจริงตามธรรมชาติ เพื่อนำไปใช้ในอุตสาห กรรมการแพทย์และไปประยุกต์ใช้ในหุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ก่อสร้างและระบบควบคุมอัตโนมัติเพื่อให้หุ่นยนต์มีน้ำหนักเบา สามารถทำงานกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย 2.แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Health care) คือการใช้แบบจำลอง AI ที่ประมวลผลจากข้อมูลประวัติทางการแพทย์ต่างๆของผู้ป่วย เพื่อให้รู้ผลการรักษาก่อนการรักษาจริง สามารถปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับเราที่สุด หรือแม้แต่สามารถประเมินความเสี่ยงการเป็นโรคต่างๆของเราได้ล่วงหน้า ซึ่งประเทศไทยกำลังจะนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้งานเร็วๆนี้ และ 3.จุลชีพในลำไส้เพื่อดูแลสุขภาพ (Human Gut Microbes for Health care) คือการใช้เชื้อที่ผ่านกระบวนการทางวิศวกรรมที่เรียกว่าชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) ซึ่งใช้หลักการทางวิศวกรรมชีวเคมี ในการออกแบบและสร้างระบบชีวภาพ จนได้เป็น “วงจรยีน (gene circuit)” ช่วยเฝ้าระวังหรือรักษาโรคอย่างเฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 เทคโนโลยีด้านพลังงาน ที่ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ 1.เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology) เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้ “เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง” ที่ลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ 2.ไฮโดร เจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility) จะเป็นอีกตัวเลือกของพลังงานอนาคต ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตไบโอไฮโดรเจนจากพื้นฐานความเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งกระบวนการผลิตไฮโดรเจนแบบนี้ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์และนำมาขายเป็นคาร์บอนเครดิตของประเทศไปพร้อมๆกันได้อีกด้วย และสุดท้ายคือการเข้าสู่ยุคของการใช้พลังงานสะอาดใน การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียน (Next Generation of Recirculating Aquaculture System: RAS) โดยมีการบำบัดของเสียออกจากน้ำและเติมออกซิเจนให้กับน้ำ ข้อดีคือไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ สามารถเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างหนาแน่นในพื้นที่น้อย สามารถควบคุมสภาวะการเลี้ยงและมีการติดตามปัจจัยต่างๆ ได้ดีกว่าวิธีการแบบเดิมที่เลี้ยงในบ่อดิน เลี้ยงในกระชัง ซึ่งมีข้อเสียหลายประการ เช่น ใช้น้ำมากและสร้างมลพิษทางน้ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคสัตว์น้ำ เป็นต้นทั้ง 10 เทคโนโลยีใหม่คือแนวโน้มหรือเทรนด์ของเทคโนโลยีโลกที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้างภายในระยะปัจจุบันและเวลาอันใกล้นี้“ทีมข่าววิทยาศาสตร์” มองว่า เราผ่านครึ่งปีแรก 2567 เข้าสู่ครึ่งปีหลัง สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะ “เทคโนโลยี” มีความก้าวหน้าและมีพลังในการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน โดยเฉพาะการเข้ามาของ AI ที่มีทั้งความฉลาดและเลียนแบบมนุษย์ได้แต่ที่สำคัญคือเราจะรับมืออย่างไรเพื่อจะนำด้านที่เป็นประโยชน์ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยไม่มีผลกระทบด้านลบเพราะทุกสิ่งที่มีคุณอนันต์ อีกด้านหนึ่งอาจมีโทษมหันต์ควบคู่กันมาด้วยเสมอ.ทีมข่าววิทยาศาสตร์อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่