“เจ้าหยุย” ปราชญ์ต้นราชวงศ์ถัง เขียน ฉางต่วนจิง ศาสตร์แห่งการยืดหยุ่นและพลิกแพลง (อธิคม สวัสดิญาณ แปล สำนักพิมพ์เต๋าประยุกต์ พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ.2549) สอน “นาย” ให้รู้จักเลือกใช้ “ลูกน้อง” ความยาวแบ่งเป็น 9 บรรพ 64 บทบทที่ 32 สติเลอะเทอะ เจ้าหยุยบอกว่า สติคือรากแห่งปัญญา สติแจ่มใสจึงจะเกิดปัญญาอันปราดเปรื่อง บางคนมีปัญญา แต่ทำอะไรล้มเหลว มิใช่เพราะโง่เขลา แต่เป็นเพราะ นารี ดนตรีความรัก ความชัง ฯลฯ บดบังจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า วจนะนี้ถูกต้องก่อนนี้ ขงจื๊อได้เป็นมหาเสนาบดีแคว้นหลู่ จิ่งกงเจ้าแคว้นฉีทราบข่าว ทรงหวาดหวั่นว่า แคว้นหลู่จะต้องกลายเป็นแคว้นอธิราช แคว้นเราติดกับแคว้นหลู่ คงจะต้องถูกแคว้นหลู่ฮุบกลืนหลี่เฉี่ยทูลว่า การกำจัดขงจื๊อง่ายดุจถอนขนเส้นเดียว แค่พระองค์ทุ่มเงินซื้อนางรำดุริยวง ส่งไปบรรณาการ อายกง เจ้าแคว้นหลู่ เจ้าแคว้นฉีจึงคัดสรรหญิงงามนางรำ 80 นาง แต่งกายด้วยผ้าไหมแพรพรรณมันระยับ ส่งไปถวายเจ้าแคว้นหลู่ทรงรับไว้ด้วยอาการปีติยินดีล้นพ้น แล้วทรงทิ้งราชการบ้านเมืองสามวันเต็มเป็นไปตามที่หลี่เฉี่ยคาด ขงจื๊อกล่าวว่า “เมื่อพระองค์ทรงลุ่มหลงนางรำนันทนาการ ก็ได้เวลาแยกทางกันแล้ว หลังจากนั้นก็เก็บข้าวของจากแคว้นหลู่ไปแคว้นเหวยนี่คือตัวอย่าง สติเลอะเทอะ เพราะลุ่มหลงนารีและดนตรีเรื่องต่อมา ซือหม่าเซียนกล่าว...คุณชายผิงหยวนจวินเป็นวิญญูชนคนดี รูปร่างหน้าตางามสง่า ในยุคแห่งความวุ่นวาย แต่ครั้งหนึ่งท่านเผลอหลงเชื่อถ้อยคำไร้สาระคนใกล้ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์ ผิดหลักทำนองคลองธรรมคำพังเพยว่า ผลประโยชน์ทำให้ปัญญามืดบอด แคว้นเจ้าสูญเสียทัพใหญ่ไปถึงสี่แสนในยุทธการฉางผิง แม้หานตานราชธานีแคว้นเจ้าก็เกือบจะสูญเสียเรื่องที่สาม จดหมายเหตุประวัติศาสตร์ฮั่นซู หมวดชีวประวัติปันกู้ เล่าว่า ก่อนนี้ปันกู้ ผู้ยิ่งใหญ่เคยสลดใจชะตากรรมของซือหม่าเซียน “เขามีความรู้กว้างไกล กลับไม่สามารถใช้ปัญญาเอาตัวรอดจากโทษประหาร”แต่ถึงเวลา ตัวปันกู้เองก็ต้องโทษประหารปันกู้เข้าใจผู้อื่นทะลุปรุโปร่ง แต่ตัวเองก็ทำ เหมือนคำพังเพยโบราณที่ว่า ดวงตาเห็นสิ่งที่อยู่ไกล กลับไม่เห็นขนตาที่อยู่ใกล้”นี่คือ ตัวอย่างสติเลอะเทอะ เพราะลุ่มหลงในบารมีเรื่องที่สี่ ซือจือเคยกล่าว ประเพณีแคว้นอู่ และแคว้นเยว่ เมื่อเจ้าแคว้นสวรรคต ต้องสละขุนนางและนางสนมกำนัลในฝังพร้อมพระศพเจ้าแคว้นจงหยวนทราบเรื่องนี้ ต่อต้านประเพณีปฏิบัตินั้นแข็งขัน แต่กลับเกิดโทสะ สั่งประหารพระบรมวงศานุวงศ์เพราะทูลผิดเพียงคำเดียวจึงเกิดคำกล่าว ยามเกิดปัญญา ก็สงสารขุนนางและนางสนมที่ถูกนำไปฝังพร้อมศพเจ้าแคว้น แต่ยามอับปัญญา ก็ลืมกระทั่งญาติพี่น้องของตน...นี่ก็คือตัวอย่าง สติเลอะเทอะเพราะโทสะเรื่องที่ห้า การจำแนกความดีความเลว คำพังเพยว่า มองไม่เห็นความเลวของบุตร นี่มิได้เป็นเพราะไร้สติปัญญาแต่เป็นเพราะโอ๋รักลูกมากเกินไป นี่คือตัวอย่างสุดท้าย สติเลอะเทอะเพราะความรักบทสรุปศาสตร์แห่งสติ...การพิจารณาคนจนคนรวย หรือจำแนกถูกผิดดีเลว ต้องเริ่มจากจิตใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรม จึงจะสามารถวิเคราะห์วิจารณ์ เลือกคนใช้ได้ถูกต้องแจ่มชัดผมขอใช้ถ้อยคำจากปกหน้าหนังสือ ฉางต่วนจริง...เตือนใคร? บางคน นายชั้นยอดเลือกครูเป็นผู้ช่วย นายชั้นกลางเลือกสหายเป็นผู้ช่วย นายชั้นต่ำเลือกข้าราชการเป็นผู้ช่วย นายที่ใกล้พินาศเลือกทาสเป็นผู้ช่วย.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม