การอภิปรายทั่วไป รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน โดยฝ่ายค้าน ก้าวไกล และประชาธิปัตย์ กับ เพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล เป็นศึกศักดิ์ศรีระหว่าง สองขั้วอำนาจทางการเมือง อย่างแท้จริง เป้าหมายของการอภิปรายในครั้งนี้มุ่งไปที่ นายกฯเศรษฐา พรรคเพื่อไทย และ ทักษิณ ชินวัตร ศูนย์กลางอำนาจโดยตรงไม่อ้อมค้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะมีการลงมติหรือไม่ลงมติ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างสำหรับพรรคฝ่ายค้านและประชาชน เนื่องจากเป็นระบบรัฐสภาเสียงข้างมาก ตราบใดที่ผลประโยชน์ในรัฐบาลลงตัว เสียงข้างมากช่วยกันลากไป ไม่มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งจะแตกต่างจากการเมืองในอดีต อภิปรายไม่ไว้วางใจที แกนนำรัฐบาล พรรคการเมืองต้องมุดมุ้งเข้าบ้านโน้นที บ้านนี้ที สมัยนี้ใช้วิธีเปิดก๊อกเอา เพราะฉะนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ละครั้ง จึงจะมีผลระหว่าง สส.พรรคร่วมรัฐบาล และ รมต.ในรัฐบาล ด้วยกัน ใครคนไหนอยากได้มือสนับสนุนมากน้อยแค่ไหนก็ไปว่ากันนอกรอบแต่จะถึงขั้นล้มรัฐบาลไม่มีทางเกิดขึ้นสำหรับการเมืองธนกิจภาคการเมืองก็เป็นเรื่องของนักการเมือง แต่ภาคประชาชน ยังอดอยากปากแห้ง ไม่ต้องไปเอาข้อมูลจากสภาพัฒน์หรือแบงก์ชาติมาเปรียบเทียบ เอาความจริงที่เห็นกันทุกวัน คนว่างงานที่ตกงานมากขึ้น หรือยังอยู่ในภาคแรงงานแต่ค่าตอบแทนลดลง จากการลดการทำงานล่วงเวลา การจ่ายเงินเดือนล่าช้า ยกเลิกสวัสดิการ หรือลดจำนวนคนงาน วันทำงาน ไปจนถึงการเลิกจ้างปิดกิจการ โดยไม่มีการจ่ายเงินชดเชยภาคแรงงานคำนวณแล้วว่า จะต้องมีค่าจ้างขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 497 บาท ทั่วประเทศถึงจะเพียงพอในการดำรงชีพ เพียงพอที่จะซื้ออาหารได้ครบ สามมื้อ ค่าแรงวันละ 300 กว่าบาท ซื้อหมูทอดได้มื้อละครึ่งขีด 20 บาท อิ่มหรือไม่อิ่มก็มีเงินซื้อกินแค่นี้ คนขายหมูทอดก็เริ่มจะขาดทุนเพราะขายได้ครั้งละครึ่งขีด ในที่สุดก็ต้องเลิกขายนี่คือความจริงแบงก์ชาติ วิเคราะห์เศรษฐกิจการเงินไทยเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา การส่งออกสินค้า ติดลบ 2.9% การนำเข้าสินค้า บวก 4.2% ขาดดุลแน่นอน ที่เพิ่มขึ้นคือ จำนวนนักท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชนบวก 0.1% การลงทุนภาคเอกชนบวก 0.8% แต่การใช้จ่ายภาครัฐหดตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลง ตลาดแรงงานยังทรงตัว ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลอยู่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำตัวเลขที่ต้องเฝ้าระวังคือ หนี้สินภาคครัวเรือน อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 90 ของจีดีพี หนี้ภาครัฐอยู่ในระดับที่สูง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังผันผวน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องรับภาระการชดเชยราคาน้ำมันจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบมากขึ้น ณ วันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันติดลบที่ 98,220 ล้านบาท แตะแสนล้านเข้าไปแล้ว เพราะรัฐต้องชดเชยดีเซลที่ลิตรละ 4.17 บาท ไม่ให้ราคาขายปลีกดีเซลเกินกว่าลิตรละ 30 บาทหรือต้องจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่เดือนละ 8,700 ล้านบาท ล่าสุดราคาน้ำมันสำเร็จรูปดีเซลขึ้นไปอีกลิตรละ 2.32 ดอลลาร์ อยู่ที่ 105.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เบนซินบวกถึง 4.99 ดอลลาร์ อยู่ที่ 104.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดทั้งภาครัฐและประชาชน.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม