กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นประธานคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติและกำหนดแนวทางการแก้ไข ค่อนข้างจะเชื่องช้าและสับสน ยังไม่มีคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ และไม่ทราบว่าจะทำประชามติ หรือมี ส.ส.ร.หรือไม่รู้แต่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก จะต้องใช้เวลาถึง 4 ปี เพื่อให้การเลือกตั้งคราวหน้าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญใหม่ ขณะเดียวกัน เริ่มมีผู้แสดงความคิดเห็น เช่น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คัดค้านการใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็น ต้นแบบของรัฐธรรมนูญใหม่นายจุรินทร์อ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ออกแบบให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากเกินไป มีบทบาทในการสรรหาองค์กรอิสระต่างๆ และทำให้การตรวจสอบนายก รัฐมนตรีทำได้ยากมาก ถ้านายกฯตั้งรัฐบาลด้วยเสียงเกิน 3 ใน 5 หรือ 300 เสียงขึ้นไป ฝ่ายค้านต้องใช้เสียงเกิน 200 จึงจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯได้ความเป็นจริงก็คือ รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้บัญญัติให้รัฐบาลครอบงำการสรรหาองค์กรอิสระ เช่น กกต.มีกรรมการสรรหา 10 คน มีทั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด และกรรมการที่มาจากอธิการบดีมหาวิทยาลัย 4 คน มาจาก สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเพียง 4 คน เป็นเสียงข้างน้อยรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้บังคับว่าการจัดตั้งรัฐบาล จะต้องมี สส.ถึง 3ใน 5 หรือ 300 เสียงขึ้นไป มี สส.แค่ “เกินกึ่งหนึ่ง” คือ 251 เสียง ก็จัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นกติกาสากลของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ผลการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อปี 2544 พรรคไทยรักไทย ได้ สส. 251 เสียงเป็นเสียงข้างมากที่ปริ่มน้ำ จึงต้องดึงพรรคอื่นๆเข้าร่วมรัฐบาล รวมเป็น 328 เสียง ก่อนการเลือกตั้ง 2548 นายก รัฐมนตรีขณะนั้น ได้ควบรวมพรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคเสรีธรรมเข้ากับพรรค ทรท. จึงชนะเลือกตั้งถล่มทลาย 377 เสียง ถูกกล่าวหาเป็นเผด็จการรัฐสภาเหตุที่พรรค ทรท.ตั้งรัฐบาลกว่า 300 เสียงได้ ไม่ใช่ความผิดของรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการกระทำของ “คน” คือคนที่ควบรวมพรรค และประชาชนที่เลือก สส.เข้ามาท่วมท้น แต่ไม่ใช่เผด็จการ รัฐสภา เพราะฝ่ายค้านยังมี สส.อยู่ 123 คน มีสิทธิตรวจสอบรัฐบาล ด้วยการตั้งกระทู้ถามนายกฯและลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม