โผ “ครม.เศรษฐา 1” บ่ายวันจันทร์นิ่งแล้ว สามารถส่งรายชื่อให้สำนักเลขาธิการ ครม.ตรวจสอบประวัติได้แล้ว เมื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตหัวหน้าส่วนอำนวยการสำนักงานเลขาธิการ คสช. มือขวาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มาจากโควตา พล.อ.ประยุทธ์ ยอมถอนตัวจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ให้ คุณสุทิน คลังแสง จากพรรคเพื่อไทยเป็นแทน เพื่อความสบายใจของคนเสื้อแดง ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เดือนหน้ากันยายนก็น่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ สิ้นสุดความไม่แน่นอน 3 เดือนเศษ ประเทศไทยจะได้เดินหน้าเสียที แต่รัฐบาลใหม่จะอยู่ครบเทอม 4 ปีหรือไม่ คงไม่มีใครกล้าการันตี เพราะรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศแบบพรรคใครพรรคมันตามโควตารัฐมนตรีนี่คือ มรดกอันเลวร้าย จาก รัฐธรรมนูญเผด็จการสืบอำนาจ คสช. 2560 ทำให้ทุกรัฐบาลต้องเป็นรัฐบาลผสม ส่งผลให้ประเทศอ่อนแอ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามศักยภาพของประเทศ ก็หวังว่า พรรคเพื่อไทย จะเร่ง “ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” โดยเร็วที่สุดตามสัญญาปัญหาใหญ่ที่กำลังรอต้อนรับ “รัฐบาลเศรษฐา 1” อยู่ก็คือ นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเอง โดยเฉพาะ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท, ปริญญาตรีเงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาท, ค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย และ แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป 50 ล้านคน วงเงิน 560,000 ล้านบาท 4 นโยบายนี้เป็นความคาดหวังของประชาชนส่วนใหญ่ แต่เป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี รวมทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ที่ใช้แรงงานจำนวนมาก มีแต่นโยบายขึ้นค่าแรง แต่ไม่มีการเพิ่มประสิทธิภาพตามค่าแรง เข้าไปด้วย นี่คือปัญหาค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบันวันละ 328-354 บาท เฉลี่ยวันละ 337 บาท ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาท ต้องขึ้นไปอีกวันละ 263 บาท ทยอยขึ้น 4 ปี ก็ตกปีละ 65.75 บาทคุณธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างฯ เห็นว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำต้องพิจารณาถึง ภาวะเศรษฐกิจแต่ละจังหวัด อัตราเงินเฟ้อ และความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง การปรับขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 600 บาท ภายใน 4 ปี ตามนโยบายเพื่อไทย ต้องปรับขึ้น 246–262 บาท หรือปรับขึ้นปีละ 61.5–65.5 บาท ถือเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ไตรมาส 2 จีดีพีขยายตัวเพียง 1.8% สภาพัฒน์ได้ลดเป้าจีดีพีปี 2566 ลงมาเหลือ 2.5–3.0% การส่งออกใน 7 เดือนแรกก็ติดลบไป 5.5% จึงเห็นว่า รัฐบาลยังไม่ควรปรับขึ้นค่าแรงในปี 2566ผมเห็นด้วยกับคุณธนิตครับ ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยดันทุรังขึ้นค่าแรงให้ได้ในปีนี้ ธุรกิจเอสเอ็มอีที่บอบช้ำและหนี้ท่วมอยู่แล้ว คงต้องถอดใจปิดกิจการเจ๊งไปให้รู้แล้วรู้รอด จะไปหาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้และขึ้นค่าแรง แต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศเหมือนครั้งก่อน เอสเอ็มอีเจ๊งกันทั้งประเทศแน่นอนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบกระชาก ท่ามกลางเศรษฐกิจตกต่ำ ผมฟันธงได้เลยว่า คนไทยจะเดือดร้อนกันทั้งประเทศ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็นวันละ 600 บาท ขึ้นเงินเดือนปริญญาตรีจบใหม่เดือนละ 25,000 บาท เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 10,000 บาท จากปัจจุบัน ทั้งที่เด็กจบใหม่ทำงานไม่ค่อยเป็น จะทำให้ราคาสินค้าและบริหารจะแพงขึ้นทันที ตามค่าแรงที่เพิ่มขึ้น คนไทยต้องซื้อสินค้าและบริการแพงขึ้น กำลังซื้อจะลดลง กระทบกันเป็นลูกโซ่ ธุรกิจโรงงานจะจ้างคนงานลดลง คนตกงานจะเพิ่มขึ้น ฯลฯแค่ ฉากทัศน์แรกก็หนาวแล้ว คุณภาพชีวิตคนไทยและเศรษฐกิจไทยจะพังกันมากมาย ถ้ารัฐบาลดันทุรังขึ้นค่าแรงและเงินเดือนทันที โดยไม่ฟังเสียงผู้มีส่วนได้เสียผมก็ได้แต่เตือน คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกฯมือใหม่ด้วยความหวังดี นโยบายอะไรที่ทำแล้วเป็นบวกก็ทำไปเลย นโยบายอะไรที่ทำแล้วส่งกระทบด้านลบในวงกว้าง ค่อยคิดค่อยทำก็ได้ การฟื้นฟูประเทศไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม