“ไม่ได้คาดหวังการมี ก.ตร.จะมาเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งหมด ขอทำให้ตำรวจได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด ทำให้กฎ ก.ตร.เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายให้มากที่สุด” เป็นเสียงของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ได้รับการเลือกตั้งของตำรวจมาเป็นตัวแทนเป็นอีกประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 แตกต่างจากอดีตสิ้นเชิง กำหนดให้เลือกตั้ง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ แบ่งเป็นเลือกอดีตตำรวจระดับ พล.ต.ท.ขึ้นไป 3 ราย และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก 3 ราย ให้ตำรวจระดับ รอง ผกก.ขึ้นไปเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกผลเลือกตั้งผู้ที่ตำรวจไว้วางใจให้เป็น ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรอง ผบ.ตร. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย รศ.ประทิน สันติประภพ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และ ศ.ศุภชัย ยาวะประภาษ นายกสภาการศึกษาโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ถูกเลือกมาเป็นปากเสียงตัวแทนตำรวจ ดูแลรักษาสิทธิประโยชน์ของตำรวจ ทำให้ปลอดจากการถูกแทรกแซงจากการเมือง หรือ “คนนอก” ช่วยให้ตำรวจเติบโตในหน้าที่จากผลงานมากกว่าการซื้อขายตำแหน่ง ดูแลสวัสดิการ ขวัญกำลังใจ เสนอจัดหางบประมาณ วางระบบการร้องเรียนและสร้างความเป็นธรรมในการปฏิบัติหน้าที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตำรวจกับเนื้อหา พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 บทสรุปสำคัญในการ “ปฏิรูปตำรวจ” หลังจากที่มีการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจตั้งแต่ปี 2557 ยกเลิกกฎหมายปี 2565 ปรับปรุงแก้ไขระบบบริหารงานบุคคลให้มีคุณธรรมมากขึ้น ไม่ให้ใครมาครอบงำตำรวจ ก.ตร.มาจากเลือกตั้งจากนายตำรวจระดับ รอง ผกก.ขึ้นไป การแต่งตั้งคำนึงถึงความรู้ ความสามารถและความสมัครใจ และเลื่อนตำแหน่งขึ้นในหน่วยสร้างเป็นกรอบเพื่อทำให้ตำรวจอยู่อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งพาอำนาจนักการเมืองหรือ “คนนอก” ทำให้บั่นทอนกระบวนการยุติธรรมภายใต้อำนาจหน้าที่ของตำรวจตั้งแต่การปฏิวัติการแต่งตั้งอ้างเรื่องความมั่นคง แม้มีกฎเกณฑ์ แต่ถูกแก้กฎ ก.ตร.ให้อำนาจ ผบ.ตร. และ ผบช.แต่งตั้งโยกย้าย ถูกแทรกแซงแต่งตั้งข้ามอาวุโส โยกย้ายไม่เป็นธรรม ย้ายออกนอกพื้นที่ ย้ายตำแหน่งไปอยู่พื้นที่ไม่ถนัด ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานและสร้างความเดือดร้อนกับชีวิตครอบครัวตำรวจ กฎหมายใหม่ประกาศใช้แล้ว แต่การแต่งตั้งขอใช้ “กฎเก่า” ไปก่อน ทำให้มีการโยกย้ายข้าม บช. ทำให้เกิดปัญหาตามมา สุดท้ายตำรวจร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 กำหนดให้มี คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร.ต้นทาง ก.พ.เพื่อเข้ามาสร้างระบบแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการให้เกิดความเป็นธรรมจากเดิมตำรวจร้องทุกข์เรื่องแต่งตั้งไม่เป็นธรรมเข้าอนุ ก.ตร.ซึ่ง ผบ.ตร.ตั้ง รอง ผบ.ตร. สุดท้ายแก้ปัญหาไม่ได้ ตำรวจก้มหน้าทำงานทั้งที่ไม่สมัครใจ กฎหมายใหม่ให้ตำรวจที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หากเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมายหรือกฎ ก.ตร.ร้องทุกข์ ก.พ.ค.ตร.ขอแก้ไขคำสั่งได้มีบทลงโทษทั้ง “คนใน–คนนอก” นายกฯ ผบ.ตร. ผบช. และคนที่พามาวิ่งเต้นฝากฝังตำรวจมี คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจหรือ “ก.ร.ตร.” พิจารณาร้องเรียนของประชาชนจากการกระทำของตำรวจ นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลนอก มีอำนาจไต่สวนเองแล้วเสนอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษ หากไม่ปฏิบัติตามถือเป็นเรื่องผิดวินัยร้ายแรงเป็นการยกเรื่องเก่าสมัย พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร ปฏิรูปตำรวจครั้งแรก ปี 2549 ที่ไม่ไว้วางใจตำรวจสอบสวนช่วยเหลือกันเอง เสนอให้มีการแต่งตั้งคนนอกเข้ามาเป็นคณะกรรมการร้องทุกข์ตำรวจลดปัญหาร้องเรียนตำรวจไม่มีข้อครหาเรื่องช่วยเหลือตำรวจด้วยกัน เองอีกผลพวงที่ได้จากการปฏิวัติรัฐประหาร พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มีบทบัญญัติใหม่เกิดขึ้น อย่างไม่เคยมีมาก่อน คาดหวังให้ “ยกเครื่องใหญ่” ทำให้ตำรวจอยู่ในวินัย ไม่ประพฤติในทางที่ผิด กว่า 2-3 เดือน 3 ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนตำรวจขยับเดินหน้าทำผลงาน จับต้องได้ ขับเคลื่อนงานเพื่อให้สนองความต้องการของตำรวจ ตั้งคณะทำงานให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ มือกฎหมายระดับอาจารย์ รู้ลึกถึงงานตำรวจเป็นประธาน อ.ก.ตร.กฎหมาย ดูแลระเบียบกฎหมาย ร่วมคัดเลือกคณะกรรมการ ก.พ.ค.ตร.รับร้องทุกข์ของตำรวจที่ถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความเป็นธรรมพล.ต.อ.วินัย ทองสอง เป็นประธาน อ.ก.ตร. ร้องทุกข์ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก เป็นประธาน อ.ก.ตร.บริหารทรัพยากรบุคคล ร่วมกันพิจารณาคำร้องทุกข์ตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งปี 2566 ขอย้ายกลับต้นสังกัดเดิม 107 ราย มีบางคนลาออกไป บางคนก้มหน้ารับชะตากรรมทำงาน เพราะถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรมนำเรื่องเสนอที่ประชุม ก.ตร.มีมติให้ย้ายกลับต้นสังกัดเดิม 14 ราย เพราะถูกย้ายข้ามหน่วย โดยไม่ได้สมัครใจ หากอยู่ที่หน่วยเดิมทำหน้าที่ได้ดีกว่า หากย้ายนอกหน่วยทำให้สร้างภาระครอบครัวตำรวจมากเกินไปก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดกรอบอัตรากำลังพื้นฐานสถานีตำรวจเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ ที่ผ่านมาตำรวจขาดแคลนผู้ปฏิบัติทุกโรงพัก 308,611 ตำแหน่ง คนครอง 212,683 ตำแหน่ง อัตราว่าง 95,928 ตำแหน่ง คิดเฉพาะสถานีตำรวจ 176,117 ตำแหน่ง คนครอง 124,226 ตำแหน่งว่าง 51,891 ตำแหน่งก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ นำเสนอ ก.ตร.มีมติให้กำหนดกรอบอัตราตำรวจเป็นกำลังขั้นพื้นฐาน ให้เพียงพอรองรับภารกิจบริการดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน ไม่ให้น้อยกว่าร้อยละ 60อีกหลายเรื่องที่ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิช่วย ผบ.ตร.พัฒนาองค์กรตำรวจให้เป็นตำรวจของประชาชนพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวว่า “บทบาทของ ก.ตร.ถูกเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่ แสดงจุดยืนปกป้องศักดิ์ศรีตำรวจดีทำงานเพื่อชาวบ้านให้ได้รับความเป็นธรรม ตามเจตนารมณ์ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ซึ่งกำหนดเป็นครั้งแรกการแต่งตั้งโยกย้ายจะต้องคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ สมัครใจและเลื่อนขึ้นในหน่วย ที่ผ่านมาตั้งแต่มีการปฏิวัติรัฐประหารอ้างความมั่นคงผู้บังคับบัญชามีอำนาจย้ายได้ ด้วยการแก้กฎ ก.ตร.อ้างว่าตำรวจอยู่ทำงานได้ทั้งประเทศ แต่ข้อเท็จจริงเป็นไปไม่ได้ หลักการจริงๆทุกคนเติบโตตามสายงานตามหน่วย ไม่มีคนที่เติบโตใน บช.น.โยกย้ายไปอยู่ทำงานได้ดีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นคนละสายงาน เป็นปัญหาที่ทารุณโหดร้ายสำหรับผู้ที่ถูกโยกย้าย เป็นหน้าที่ของ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ กฎหมายใหม่มีคณะกรรมการเข้ามารับผิดชอบและกำหนดบทลงโทษนายกฯ ผบ.ตร.และคนนอกที่ฝากคนเข้ามา หากทำให้เกิดความเสียหาย ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย”เป็นเสมือน “กฎเหล็ก” ของตำรวจ และประชาชนที่คิดว่าถูกรังแก.ทีมข่าวอาชญากรรม