สมาคมผู้ผลิตภาพยนตร์แห่งญี่ปุ่น (Eiren) เผยแพร่ข้อมูลน่าสนใจเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่า จำนวนการเข้าชมภาพยนตร์ในญี่ปุ่นตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32.4% แตะระดับ 152 ล้านคน ส่วนในแง่ของรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของโรงภาพยนตร์ในประเทศยังเติบโต “เกือบ” เท่าระดับก่อนการระบาดใหญ่ ของโควิด-19 ที่ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงต้องหยุดชะงักที่ 213,111 ล้านเยน หรือราว 54,276 ล้านบาท ตอกย้ำ สถานะของ “ญี่ปุ่น” ในฐานะตลาดโรงภาพยนตร์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอเมริกาเหนือและจีนเท่านั้นอย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ข้อมูลของ Eiren ประจำปี 2565 นั้น เริ่มนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2564-พ.ย. 2565 นั่นหมายความว่า ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมตัวเลขจาก “อวตาร : วิถีแห่งสายน้ำ” (Avatar: The Way of Water) ภาพยนตร์อภิมหากาพย์ไซไฟที่เข้าฉายโรง ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเมื่อประมาณกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมานี้เองจากรายรับบ็อกซ์ออฟฟิสทั้งหมด 213,111 ล้านเยน จากจำนวนภาพยนตร์ทั้งหมด 1,143 เรื่อง ออกฉายในปี 2565 เพิ่มขึ้นจาก 959 เรื่องในปีก่อนหน้า ภาพยนตร์ญี่ปุ่นทำรายได้สูงถึง 146,579 ล้านเยน หรือคิดเป็นสัดส่วน 69% ลดลงจากปีก่อนที่มีส่วนแบ่งการตลาด 79% อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ทำรายได้สูงสุด 3 อันดับเมื่อปีที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นภาพยนตร์ “อนิเมะ” ทั้งหมดภาพยนตร์อนิเมะแนวแอ็กชันผจญภัยเรื่อง “One Piece Film Red” (วันพีซ ฟิล์ม เรด) เป็นการฉลองโอกาสครบรอบ 25 ปี ของการเปิดตัววันพีซครั้งแรกในปี 2540 ทำรายได้ มาเป็นอันดับ 1 ด้วยรายได้ 19,700 ล้านเยน เป็นรายได้สูงสุดที่เคยมีมาของแฟรนไชส์ “วันพีซ” ตามมาด้วย “Jujutsu Kaisen 0” หรือ “มหาเวทย์ผนึกมาร ซีโร่” ที่รายรับ 13,800 ล้านเยน และ “Suzume no Tojimari” จากฝีมือการกำกับและเขียนบทของมาโกโตะ ชินไค ผู้กำกับเจ้าของผลงาน Your Name (ในปี 2559) ที่ 13,150 ล้านเยนส่วนภาพยนตร์จากต่างประเทศที่ทำรายได้สูงสุดในญี่ปุ่นได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง “ท็อปกัน มาเวอริค” ต่อด้วย “Jurassic World Dominion” หรือจูราสสิค เวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร โดยภาพยนตร์เรื่อง “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือสัตว์มหัศจรรย์ ความลับของดัมเบิลดอร์ ทำรายได้ตามมาเป็นอันดับ 3ผู้เชี่ยวชาญในวงการยังระบุว่า บ็อกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่นปีนี้น่าจะคึกคักจากภาพยนตร์ของญี่ปุ่นเอง โดยเฉพาะค่ายใหญ่อย่างโตโฮ ที่มีหนังฟอร์มยักษ์จ่อโรงฉายอีกเพียบ ส่วนจะมีโปรเจกต์ไหนบ้าง มาอ่านต่อคราวหน้าค่ะ.อมรดา พงศ์อุทัย