กกท. การกีฬาแห่งประเทศไทย ตัดสินการได้สิทธิถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ผ่านทางทีวีดิจิทัลช่องต่างๆไปแล้วปรากฏว่า เกิดความเหลื่อมล้ำในการได้สิทธิการถ่ายทอดสด จากช่องทีวีดิจิทัลทั้ง 17 ช่องที่อ้างเป็นการจับสลากว่า ช่องไหนจะได้ถ่ายทอดสดคู่ไหน แมตช์ไหนบ้าง ซึ่งทาง สมาคมทีวีดิจิทัล ระบุว่า ทุกช่องจะต้องได้สิทธิในการถ่ายทอดอย่างเสมอภาคเพราะ ทีวีดิจิทัลได้ประมูลคลื่นจากกสทช. และ กสทช.ก็ได้นำเงินจากกองทุนจำนวน 600 ล้านบาทไปสนับสนุน กกท. ในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในครั้งนี้ปรากฏว่า ทรู ได้ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกถึง 32 คู่ จาก 64 คู่ และได้เลือกคู่ก่อน ซึ่ง กกท. ก็อ้างว่า ทรูได้สนับสนุนค่าลิขสิทธิ์ด้วย เป็นจำนวน 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ถ้าจะคิดในส่วนเงินสนับสนุน ก็ไม่ใช่มีแค่ ทรู แต่ยังมี ปตท. 100 ล้าน และไทยเบฟอีก 100 ล้าน ส่วน จะเหลื่อมล้ำกันขนาดไหน อย่าง ช่อง 9 อสมท เองได้ถ่ายทอดแค่แมตช์เดียว แล้วก็เป็นคู่ที่ไม่ค่อยน่าสนใจ ช่อง 11 ได้รับสิทธิการถ่ายทอด 4 แมตช์ ซึ่งต้องพิจารณาด้วยว่า สื่อรัฐอย่างช่อง 11 หรือไทยพีบีเอส หรือช่อง 5 กองทัพบกก็ไม่ได้เสียเงินในการประมูลคลื่นความถี่ แต่อย่างใดเรื่องของฟุตบอลโลกก็คงจบกันไปแค่นี้ ส่วนจะหาเงินจากไหนมาใช้คืนเงินกองทุนทั้งกีฬา และ กสทช.เป็นปัญหาในระยะยาว เอาปัญหาเฉพาะหน้าให้คนไทยได้ดูบอล จบดราม่าแมตช์นี้ไปก่อนที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือ เศรษฐกิจโลก หลังจาก โควิด–19 และ สงครามยูเครน–รัสเซีย ที่นำมาสู่ วิกฤติพลังงาน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ เศรษฐกิจโลกจะล้อมประเทศ มาตรฐานความจนบนความเสมอภาคจะหายไปมีเรื่องของการแข่งขันและผลประโยชน์มาแทนเงินเฟ้อ พลังงาน จะเป็นอาวุธที่สำคัญในการต่อรองทางการค้า ขนาดผู้ว่าแบงก์ชาติ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ออกมายอมรับเองว่า เศรษฐกิจในปี 2566 มีปัจจัยเสี่ยงที่สูงมาก ให้เตรียมรับมือกับ กับดักระเบิดโลก การเงินการลงทุนอยู่ในสภาพ น้ำลดตอผุด อะไรที่ไม่ปกติจะได้เห็นกันชัดเจนขึ้น การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ จะไม่ smooth อีกต่อไป อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน เป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูงมากจะไปพึ่งพาอาศัยการท่องเที่ยว การส่งออกแต่อย่างเดียว เพื่อเป็นรายได้ของประเทศ ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะทุกประเทศ จีดีพีจะลดลง การใช้จ่ายจะลดลง ประหยัดมากขึ้น คนใช้เงินน้อยลงกำลังซื้อก็ลดลง การผลิตและการส่งออกก็จะลดลงโดยเฉพาะประเทศไทยจากร้อยละ 8 ในปีนี้ก็ว่าแย่แล้ว ในปีหน้าคาดว่าจะเหลือแค่ร้อยละ 1 วูบลงมาขนาดนี้ การว่างงาน การจ้างงาน มีปัญหาตามมาแน่นอน เสร็จแล้วก็ไปกระทบกับภาระหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะเป็นลูกโซ่ที่น่ากังวลคือ นโยบายประชานิยมแบบสุดโต่ง ที่บรรดาพรรคการเมืองหลับหูหลับตา ใช้เป็นนโยบายหาเสียงกับประชาชน พักหนี้ พักดอกเบี้ย ยกหนี้ ล้วนแต่กระทบกับเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศ และมีปัญหาในการนำไปสู่การปฏิบัติการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะทิศทางของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน การฟื้นตัวของธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ใช่แค่วันสองวัน การชดเชย เยียวยา ถ้าขาดสติและความรอบคอบตำนํ้าพริกละลายแม่น้ำเปล่าๆ.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th