ก็เป็นไปตามคาด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 1.25 โดยให้มีผลทันที เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดย กนง.คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 22 ปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 1.5 และปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.3 เศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอลงจากปัจจัยชั่วคราวจากภาคการผลิต นักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลง และอุทกภัยภาคใต้ที่จะส่งผลกระทบไปถึงต้นปีหน้าเศรษฐกิจปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากปีนี้ ตามการบริโภค ภาคเอกชนที่ชะลอลงตามรายได้ และการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ แต่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้น เศรษฐกิจปี 2570 มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังต่ำกว่าศักยภาพ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวภาคบริการ แต่การส่งออกการผลิตยังถูกกดดันจากการแข่งขันที่สูงกนง.ยังให้ติดตาม “ความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด” อย่างใกล้ชิด และ ให้ยกระดับการติดตามการเคลื่อนไหวของ “ค่าเงินบาท” อย่างใกล้ชิด รวมถึงแนวทางการดำเนินการกับ “ธุรกรรมที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาท” อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งค่าเงินบาทปัจจุบันทำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี เช้าวันพุธที่ 17 ธ.ค. ก่อนการประชุม กนง. ค่าเงินบาทเปิดตัวแข็งค่าขึ้นมาที่ 31.42–31.44 บาทต่อดอลลาร์ จากราคาที่ปิดวันก่อนที่ 31.52 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 และตั้งแต่ต้นปีนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 8% แข็งค่ามากเป็นอันดับสองในเอเชียเลยทีเดียวจึงไม่แปลกใจที่ กนง.จะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ดอกเบี้ยนโยบาย ไทยขึ้นไปสูงสุดที่ 2.50% การลดดอกเบี้ยช่วยได้เพียงลดต้นทุนทางการเงิน และบรรเทาภาระหนี้ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนเท่านั้นแต่ปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยวันนี้คือ “ค่าเงินบาท” ที่แข็งค่า ที่สุดในภูมิภาคและ “โครงสร้างเศรษฐกิจที่ล้าหลัง” รวมทั้ง “มาตรการภาษีสหรัฐฯ” ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกและภาคการผลิตของไทย คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาตรการ ให้ธนาคารต่างๆ ตรวจสอบเอกสาร การซื้อขายดอลลาร์ โดยเฉพาะ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำ เพราะการส่งออกของไทยกำลังเผชิญกับค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุดในช่วงหลายปี ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 8% แข็งกว่าเงินหยวนของจีนที่แข็งค่าขึ้นมา 7% ขณะที่เงินดองเวียดนามแข็งค่าขึ้นมาแค่ 3%คุณเกรียงไกร ระบุว่า กกร.ได้ตั้งข้อสงสัยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 แล้ว โดยได้ตรวจพบ ความผิดปกติการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาแค่ 7 เดือนแรกปีนี้ไทยส่งออกทองคำแท่งไปยังกัมพูชาแล้วกว่า 71,800 ล้านบาท อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า พร้อมกับตั้งคำถามว่า กัมพูชาเป็นประเทศเล็กๆ ทำไมจึงมีการซื้อทองคำสูงมาก กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติควรหาวิธีการดูแล เพื่อปิดช่องทางการฟอกเงินล่าสุดจันทร์ที่ 15 ธ.ค. คุณพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ สายตลาดการเงิน ได้ออกมาเปิดเผยว่า ธปท.ได้สั่งการให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดธุรกรรมขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าของกลุ่มผู้ค้าทองคำ ซึ่งอาจส่งผลเพิ่มความผันผวนของค่าเงินบาท โดย ให้สถาบันการเงินต้องเรียกตรวจหลักฐานการขายทองคำกับคู่ค้าต่างประเทศจากร้านทองทุกธุรกรรม และยังต้อง เรียกเอกสารเรียกเก็บเงินและใบขนทองคำภายใน 2 วันทำการ นับจากวันที่ร้านทองส่งมอบเงินตราต่างประเทศด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าการขายเงินตราต่างประเทศเกิดจากการส่งออกทองคำจริงธปท.ยังเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดยเสนอให้ ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมที่เกี่ยวข้องให้ ธปท.รับทราบถ้าจะให้ดีที่สุด ผมคิดว่า ธปท.ควรเข้าไปกำกับดูแลการซื้อขายทองคำโดยตรง จะได้ ดูแลค่าเงินบาทไปในตัว ปัจจุบันการค้าทองคำในไทยยังไม่มีหน่วยงานไหนกำกับดูแล แก๊งสีเทา ทั้งนักธุรกิจสีเทา นักการเมืองสีเทา เลยใช้ทองคำฟอกเงินกันสบาย.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม