เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี จ.ปทุมธานี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว. ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมสัมมนาผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ทั้งรัฐและเอกชน ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาการอาชีวศึกษา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลกในศตวรรษที่ 21 ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อผู้เรียน หลักสูตร และแนวทางการเรียนการสอน ซึ่งทุกท่านในฐานะผู้บริหารจะต้องมีการปรับตัว และปรับรูปแบบวิธีการบริหารจัดการให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และวันนี้เรื่องหลักสูตร อาชีพ ระบบการเรียนรู้ ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับผู้เรียนและเศรษฐกิจ ซึ่งวิธีการที่จะขับเคลื่อนให้เร็วที่สุดคือการจัดการศึกษาระบบทวิภาคี ดังนั้น วันนี้จึงขอให้ผู้บริหารโฟกัสเรื่องระบบทวิภาคีให้มากขึ้น โดยให้แต่ละสถานศึกษากำหนดตัวชี้วัดหรือ KPI ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ขณะเดียวกันขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาการใช้จ่ายเงินในหมวดค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และค่าจัดการเรียนการสอนให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลโดยตรงกับผู้เรียนให้มากที่สุดรมว.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เด็กจำนวนหนึ่งหลุดออกจากระบบ การศึกษา ศธ.จึงได้มีโครงการตามน้องกลับมาเรียน โดยในส่วนของ สอศ.ก็มีโครงการอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ตนเป็นห่วงจำนวนผู้เรียนในหลายวิทยาลัยลดลง โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ที่เด็กของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) ในหลายพื้นที่น้อยลง ซึ่งตนได้หารือกับผู้บริหารส่วนกลางว่าในภาคการเกษตรขอให้เน้นเรื่อง Smart Farming มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ อีกทั้งสร้างเครือข่ายวิทยาลัยเกษตรฯอื่น คิดค้นสิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ ขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านปักหมุดเรื่องสถานศึกษาปลอดภัยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ของนักเรียนอาชีวะ.