สถานการณ์ “ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” ในกรุงเทพมหานคร นับเป็นพื้นที่ซึ่งมีช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่าง “คนรวย” และ “คนจน” สูงที่สุดในประเทศไทยน่าสนใจว่า...ครอบครัวของเด็กยากจนพิเศษของกรุงเทพฯมีรายได้เพียง 1,964 บาทต่อคนต่อเดือน ต่ำกว่าเส้นความยากจนของสภาพัฒน์ ซึ่งอยู่ที่ 2,762 บาทต่อคนต่อเดือน ยิ่งตอกย้ำด้วย “โควิด-19”ทำให้รายได้ครัวเรือนยากจนพิเศษทั้งประเทศลดลง คิดเป็น 7% เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนมีสถานการณ์โควิดระบาดทองพูล บัวศรี ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน (ไซต์ก่อสร้างและริมทางรถไฟ) เล่าให้ฟังว่า เราจำเป็นต้องอธิบายถึงภาวะที่ครอบครัวต่างๆ ประสบ อันเป็นผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ประเด็นแรกคือ การตกงาน ขาดรายได้ เป็นสภาวะ “จนเฉียบพลัน”...ที่เดิมแม้จะมีรายได้น้อยแต่ยังพอประคองชีวิตให้อยู่รอดได้ แต่เมื่อธุรกิจหลายอย่างปิดตัวลง เกิดปัญหาเศรษฐกิจที่กินวงกว้าง งานรับจ้างรายวันที่เคยมีจึงหายไป ทำให้ไม่มีรายได้เข้าสู่ครอบครัวเลย ประเด็นต่อมาก็คือ เหตุ “อุบัติ” ในครอบครัวหมายถึง เคสที่คนหารายได้หลักในบ้านเสียชีวิตจากโควิด-19 ทิ้งให้อีกหลายชีวิตเจอกับความยากลำบากยิ่งขึ้น หรือบางบ้านผู้ปกครองเสียศูนย์จากวิกฤติ เด็กจึงต้องออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานหารายได้ดูแลน้องๆ นอกจากนี้ปัญหารุมเร้ายังนำมาสู่ความเครียดเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงในครอบครัวที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอีกประเด็นสำคัญก็คือ การที่เด็กๆถูกผลักจากครอบครัวให้ลงไปอยู่บนท้องถนนมากขึ้น เราจะเห็นเด็กที่เร่ขายของตามสี่แยกหรือตามแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนบริเวณย่านใจกลางเมืองถึงตรงนี้...เมื่อมองไปที่ปลายทาง มูลเหตุเหล่านี้ล้วนนำความสุ่มเสี่ยงด้านความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตมาที่ตัวเด็กโดยตรง“เราจะพบผู้ปกครองที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตและการควบคุมอารมณ์มากขึ้น” ทองพูล ว่า “ขณะที่ปัจจัยยังชีพพวกข้าวสารอาหารแห้ง นับว่าเป็นสิ่งที่สามารถเข้ามาช่วยให้ครอบครัวในชุมชนต่างๆ ผ่อนคลายจากสภาวะที่เผชิญได้บ้าง”สำหรับภาระที่หัวหน้าครอบครัวต้องเผชิญโดยตรงเกี่ยวกับ “ค่าใช้จ่าย” ด้านการศึกษา ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการศึกษา เครื่องแบบกระเป๋า รองเท้า หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียนพบว่า ในปีการศึกษาใหม่นี้ หลายอย่างได้ปรับราคาสูงขึ้นจากการลงพื้นที่ก่อนเปิดเทอมเพื่อนำสิ่งของบริจาคไปมอบให้เด็กๆ ในพื้นที่ชุมชนหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร มีข้อมูลบ่งชี้ว่า “รองเท้านักเรียน” ...มีราคาต่อคู่อยู่ที่ประมาณ 320 บาท “เสื้อนักเรียน”...ตัวละประมาณ 200 บาท “กระโปรง” หรือ “กางเกง”...ราว 250 บาท “กระเป๋านักเรียน”...ราคาเฉลี่ย 200 กว่าบาท ยังไม่รวมว่า...มีค่าชุดพละ 250 บาท ชุดลูกเสือซึ่งต้องมีส่วนประกอบของเครื่องแบบ เช่น ผ้าพันคอ หมวก วอกเกิ้ล เข็มขัด ฯลฯ รวมแล้วน่าจะตกราวๆ 650 บาท หรือในส่วนนักเรียนหญิงจำเป็นต้องมีรองเท้าผ้าใบสำหรับชั่วโมงพละร่วมด้วย เมื่อคิดมูลค่าของทั้งหมดรวมเบ็ดเสร็จ น่าจะต้องจ่ายอีกกว่า 2,000 บาทในช่วงเวลาเช่นนี้แน่นอนว่า หลายครอบครัวที่ไม่มีรายได้หรือรายได้ลดลง ต้องนับว่าเป็นภาระที่หนักมากนอกจากนี้เราต้องไม่ลืมว่า แม้เด็กส่วนใหญ่ไม่เสียค่าเทอมแต่ยังมีค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าประกันอุบัติเหตุ 500 บาท หรือค่าจ้างพิเศษในส่วนของครูสอนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ค่าเรียนคอมพิวเตอร์ ประมาณ 300บาทต่อวิชา รวมแล้วค่าธรรมเนียมเหล่านี้จึงเพิ่มขึ้นมาอีกมากกว่า 1,000-2,000บาทต่อคนเหล่านี้คือ “ค่าใช้จ่ายแท้จริง” ที่ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กเยาวชนคนหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองต้องแบกรับและหมายความไปถึงความมั่นคงทางการศึกษาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่เด็กจะอยู่ในระบบการศึกษาต่อไปได้จนถึงปลายทางความจริงข้างต้นนี้ไปในทิศทางเดียวกับที่ “สำนักงานสถิติแห่งชาติ” ได้มีการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนล่าสุด (2564) พบว่า “คนกรุงเทพฯ” ต้องจ่ายค่าอุปโภคบริโภคต่อครัวเรือนเฉลี่ย13,738 บาทต่อเดือน โดยค่าใช้จ่ายนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ 1.5 เท่านอกจากนี้ จากการสำรวจ “ค่าใช้จ่ายทางการศึกษา” ของเด็กนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่า เด็กกรุงเทพฯมีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเฉลี่ย 37,257 บาทต่อคนต่อปี ในจำนวนนี้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาสูงถึง 26,247 บาท ที่เหลือ...เป็นค่าเสื้อผ้าและเครื่องแบบ 2,072 บาท ค่าหนังสือเครื่องเขียนและอุปกรณ์ 2,175 บาท ค่าเดินทาง 6,763 บาท ประเด็นสำคัญมีว่า“ตัวเลขเฉลี่ย” เหล่านี้สูงกว่าทุกพื้นที่ในประเทศไทย สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศซึ่งมีค่าใช้จ่าย 17,832 บาทต่อคนต่อปี ถึง 2 เท่าตัว“ตัวเลขนี้กำลังบอกเราว่า คนกรุงเทพฯกำลังเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงกว่าจังหวัดอื่นๆในแทบทุกมิติ ทั้งด้านค่าใช้จ่ายครัวเรือน รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการศึกษา”ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ว่า หากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของเด็กที่มาจากครัวเรือนยากจน 10% ล่างสุดของกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 6,600 บาทต่อคนต่อปี ในขณะที่เด็กที่มาจากครัวเรือนที่รวยที่สุด 10% แรกของกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงถึง 78,200 บาทต่อคนต่อปี ตัวเลขห่างกันถึง 12 เท่าค่าเล่าเรียน ค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันอย่างมาก สะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาที่ได้รับต่างกัน“แม้ว่าค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของครอบครัวยากจนจะไม่สูงนัก แต่จากข้อมูลบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติพบว่า โดยเฉลี่ยครัวเรือนยากจนต้องแบกรับรายจ่ายด้านการศึกษาเมื่อเทียบกับรายได้ สูงกว่าครัวเรือนที่ร่ำรวยถึงสี่เท่า ความเหลื่อมล้ำจึงอาจนำไปสู่การหลุดออกนอกระบบการศึกษาของเด็กยากจน” ถึงแม้ว่า “ประเทศไทย” จะมี “นโยบายเรียนฟรี 15 ปี” แต่พบว่ายังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทางการศึกษาอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนยากจน ยิ่งคำนึงถึงสถานการณ์ “เงินเฟ้อ” ในช่วงที่ผ่านมา อาจต้องถึงเวลาปรับสูตรการจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษาอีกครั้งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำการเพิ่มทรัพยากรทางการศึกษาสำหรับโรงเรียนด้อยโอกาส รวมถึงเพิ่มการจัดสรรสวัสดิการทางสังคมด้านอื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตเด็ก กทม. เช่น บัตรสวัสดิการนักเรียนพุ่งเป้าไปที่ “ปฐมวัย” ถือเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาคุณภาพชีวิต จึงควรมุ่งพัฒนายกระดับคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีอยู่ 290 แห่ง เพื่อดูแลบุตรหลานครอบครัวยากจนคนหาเช้ากินค่ำใน กทม. กลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยเพิ่มมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเพิ่มสวัสดิการครูพี่เลี้ยง อาสาสมัคร การเชื่อมฐานข้อมูลเด็กปฐมวัยและส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง“การศึกษา” เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา “ประเทศชาติ” เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า พวกเขาเหล่านี้จะเป็นอนาคต...เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทย.