คำสอนท่วงทำนอง “คิดบวก” และวิธีสอนแบบตั้งคำถามของโสคราตีส ปราชญ์ชาวกรีก ที่ฟังแล้วมีกลิ่นอายโก้หรูทันสมัยแบบฝรั่ง แวดวงชาววัดเขารู้กัน เป็นวิธีสอนถนัดของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้อยู่เรื่อยเรื่องนี้มีอยู่ในพระธรรมบท...พ่อค้าชาวเมืองสุณาปรันตะ เมืองที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วชมพูทวีป เป็นเมืองคนดุ ชื่อปุณณะ เดินทางมาค้าขายที่กรุงสาวัตถี เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ก็เกิดความเลื่อมใส ขอบวชเป็นพระบวชบำเพ็ญภาวนาอยู่นาน แต่ไม่มีวี่แววจะบรรลุ เหมือนเพื่อนพระหลายองค์ที่เป็นพระอรหันต์ไปแล้ววันหนึ่งพระปุณณะคิดขึ้นมาได้ “หรืออาจเป็นเพราะ ไม่คุ้นเคยดินฟ้าอากาศเมืองสาวัตถี” จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอกราบทูลลา จะไปเปลี่ยนอากาศ ตั้งหลักบำเพ็ญภาวนาที่เมืองสุณาปรันตะถิ่นเกิด“ชาวเมืองของเธอนั้น เป็นคนดุร้าย หยาบคายนัก เธอจะทนพวกเขาไหวหรือ?” พระพุทธองค์ทรงถาม พระปุณณะตอบอย่างมั่นใจ “ไหวพระเจ้าข้า”“ถ้าคนพวกนั้น พากันมารุมด่า เธอจะมีวิธีรับมืออย่างไร”“ข้าพระองค์จะคิดว่า ถูกเขารุมด่า ก็ยังดีกว่าถูกพวกเขาต่อยตีด้วยมือพระเจ้าข้า” พระปุณณะตอบด้วยความมั่นใจ“ถ้าพวกเขา ไม่ต่อยตีด้วยมือ แต่เอาก้อนหินขว้างปาเล่า?”“ข้าพระพุทธเจ้า ก็ยังคิดว่า ยังดีกว่าถูกพวกเขาตีด้วยท่อนไม้”พระพุทธองค์ก็ยังทรงใช้คำถามวิธีเดิม “ถ้าพวกเขารุมตีด้วยท่อนไม้ล่ะ เธอจะทนได้สักแค่ไหน”“ข้าพระพุทธเจ้า ก็คิดว่ายังดี ที่พวกเขาไม่ฟันไม่แทงด้วยดาบและหอก” พระปุณณะก็ยังยืนกรานความมั่นใจ“แล้วถ้า พวกเขารุมแทงรุมฟันด้วยดาบและหอกเล่า เธอจะยังคิดว่าดีได้อยู่หรือ?”ท่าทีพระปุณณะก็ยังไม่เปลี่ยน “ข้าพระองค์ยังคิดว่าเป็นการดี”“ดีอย่างไร?” คำถามสุดท้ายนี้ พระปุณณะต้องกราบทูลยาว“ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่า ก็ยังดีกว่า คนที่อยากตาย แต่ยังต้องเสียเวลาไปเที่ยวหาอาวุธมาฆ่าตัวเอง ข้าพระองค์ถือว่าโชคดี ไม่ต้องเสียเวลา อยู่ดีๆก็มีคนมาทำให้ตายถึงที่”“ดีมาก ปุณณะ” พระพุทธเจ้าตรัสชม“อุบายของเธอแยบคายนัก เราอนุญาตให้ท่านเดินทางไปหาที่พำนักสร้างความเพียร ที่เมืองสุณาปรันตะได้”เรื่องเล่าครั้งพุทธกาล ที่ส่วนใหญ่พระอานนท์ จะเป็นองค์ท่องจำให้พระสงฆ์ช่วยจำกันต่อๆไป ก็จบลงตรงนี้พระปุณณะเดินทางไปบำเพ็ญสมาธิภาวนาอยู่ที่เมืองคนดุ บ้านเกิด ได้ไม่นาน ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์เห็นปาฏิหาริย์ของกระบวนการ “คิดบวก” แบบของพระพุทธเจ้าแล้วใช่ไหม? แต่ควรรู้ว่า คำสอนวิธีนี้ใช้ได้กับชาวพุทธศาสนา ที่หวังบรรลุธรรมชั้นสูงสุดคือพระนิพพานเท่านั้นเมื่อไม่มีข้อโต้แย้งให้ยาวความ สังคมคิดบวก ก็เงียบ เงียบสงบมาก...ไม่มีเงื่อนให้ “สื่อ” เอาไปขยายความต่อแต่ถ้าเป็นสังคมการเมือง เป็นคนละเรื่องไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ จะต้องมีคนหาแง่หาเงื่อนไปเป็นปมถล่ม แบบให้ล่มจมกันไปข้างหนึ่ง ยิ่งเป็นคลิปเรื่องในมุ้ง ของลูกคนดังๆ ดูจะยิ่งชอบ ชอบทั้งคนขายที่เป็นสื่อ ชอบทั้งคนซื้อที่เป็นชาวบ้าน.กิเลน ประลองเชิง