มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ หลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมไม่แสวงหากำไร ซึ่งมีองค์กรการเมืองของภาคประชาสังคมรวมอยู่ด้วย บางคนเปรียบเทียบเสมือนคลื่นสึนามิใหญ่ที่สุด ที่จะกวาดล้างภาคประชาสังคมในไทยให้หมดสิ้น และกระทบประชาธิปไตยร้ายแรงร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้มุ่งควบคุมเฉพาะองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่ มุ่งควบคุมองค์กรภาคเอกชน หรือเอ็นจีโอต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย ในยุคที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน เป็นองค์กรต่างประเทศ 86 แห่ง องค์กรภายใน 25,000 แห่ง ทำการรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชน การเมือง จนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติรัฐบาลอ้างว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มุ่งสนับสนุนองค์กรภาคเอกชน และส่งเสริมให้โปร่งใส และให้คำจำกัดความไว้อย่างกว้างขวาง ว่าควบคุมกิจกรรมใดๆที่มิใช่ของรัฐ และให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะลงโทษองค์กร เช่น การสั่งปรับ หรือสั่งปิดกิจการ โดยไม่ต้องขึ้นศาล และมีอำนาจดำเนินคดีความมั่นคงรัฐนับแต่ประเทศปกครองโดยรัฐบาลของคณะรัฐประหาร มีกฎหมายอำนาจนิยมเกิดขึ้นหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ความผิดทางคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐตีความว่าการชุมนุมจะต้องได้รับอนุญาตจากตำรวจท้องที่ ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลยังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นการถาวรทั่วประเทศจึงกลายเป็นเสมือนหนึ่งว่า ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งประเทศ นับแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้นปี 2563 แต่รัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อห้ามกลุ่มต่างๆ ชุมนุมเป็นส่วนใหญ่ และยังเคยออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามการเผยแพร่ข่าวอันอาจทำให้ประชาชนหวาดกลัวองค์กรภาคประชาสังคมที่น่าเป็นห่วงที่สุด และอาจเอาตัวไม่รอดจากกฎหมายใหม่ที่ยึดแนวทางอำนาจนิยม ได้แก่ องค์กรที่ดำเนินกิจกรรมด้านสิทธิทางการเมือง หรือสิทธิพลเมือง เช่น การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มอื่นๆ อาจถูกเพ่งเล็งว่ากระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐแม้แต่องค์กรทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญโดยตรง ก็อาจตกอยู่ในอันตราย ถ้าใช้กฎหมายอำนาจนิยม เช่น กฎหมายพรรคการเมือง ที่เปิดช่องให้กลุ่มผู้มีอำนาจ สามารถกลั่นแกล้งพรรคคู่ต่อสู้ได้ ด้วยข้อหาปล่อยให้ “คนนอก” เข้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมพรรค เป็นข้อหาที่อาจทำให้ยุบพรรคได้.