เหตุความวุ่นวายในประเทศ “คาซัคสถาน” ในเอเชียกลาง ได้กลายเป็นเป้าสนใจของแวดวงความมั่นคงทั่วโลก โดยเฉพาะ “สหรัฐอเมริกา” ที่จับตาความเคลื่อนไหวอย่างกระชั้นชิดหลัง “กองทัพรัสเซีย” ภายใต้กรอบความร่วมมือองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม (CSTO) ของกลุ่มดินแดนอดีตสหภาพโซเวียต ตัดสินใจส่งหน่วยรักษาความสงบเข้าไปในพื้นที่ ประกอบด้วยหน่วยพลร่มและหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ตามคำร้องขอของรัฐบาลคาซัคสถาน เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งกรณีนี้นักวิเคราะห์พบสิ่งที่น่าสนใจบางอย่างปะปนอยู่ในขบวนยานเกราะบีเอ็มดีและบีทีอาร์อันน่าเกรงขามของกองทัพรัสเซีย เป็นกลุ่มรถลำเลียงพลที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างไปจากรถคันอื่นๆ เข้าเค้าว่าจะเป็นรถที่ติดตั้งระบบที่เรียกว่า “เลียร์-3” สำหรับการทำสงคราม “อิเล็กทรอนิกส์”โดยจุดประสงค์หลักของระบบเลียร์-3 (ดูจากสถานการณ์ในคาซัคสถานแล้ว) คือการแจมมิ่ง กวนคลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือของกลุ่มผู้ก่อจลาจล สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลคาซัคสถานที่ไม่ต้องการให้ม็อบสามารถส่งข่าวสาร นัดแนะ หรือกระจายข้อมูลใดๆได้ และผลที่ตามมาคือการชุมนุมจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ง่ายต่อการกระชับพื้นที่ เข้าปราบปรามนอกจากนี้ หากเป็นระบบเลียร์-3 ของจริง สิ่งที่จะพ่วงมาด้วย คือรถศูนย์ควบคุมโดรนไร้คน “ออร์ลาน-10” ที่ติดกล้องวิดีโอความคมชัดสูง เป็นประโยชน์ต่อการบัญชาการในภาพรวม เพราะจะสามารถจับตาความเคลื่อนไหวใดๆของกลุ่มผู้ก่อจลาจล และแจ้งไปยังหน่วยปฏิบัติการต่างๆที่กระจายกำลังอยู่ในพื้นที่ตัวเมืองทั้งหมดจึงไม่แปลกแต่อย่างใด ที่จะมีรายงานว่ารัฐบาลคาซัคสถานควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายในเมือง “อัลมาตี” จุดศูนย์กลางการประท้วงได้แล้วเรียบร้อย มีผู้ป่วนเมืองถูกจับกุมกว่า 5,000 คน แต่มีตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ค่อนข้างต่ำ ย้อนแย้งกับคำสั่งของรัฐบาลให้ยิงผู้ก่อเหตุได้แบบไม่ต้องเตือนก่อนหน้านี้ ระบบดังกล่าวเคยถูกนำมาใช้งานแล้ว ระหว่างภารกิจรักษาความสงบ ตามสนธิสัญญาสันติภาพยุติสงครามระหว่างอาร์มีเนียและอาเซอร์ ไบจานเมื่อปี 2563 การนำมาใช้ใหม่ที่คาซัคสถานรอบนี้ จึงย่อมหมายความว่า ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นอุปกรณ์หลักในหน่วยรบรัสเซียอย่างเป็นทางการ และถือว่ากองทัพรัสเซีย มีขีดความสามารถในการทำ “สงครามขั้นสูง” (Advance Warfare) ไปแล้วเรียบร้อย.ตุ๊ ปากเกร็ด