สวัสดีปีเสือ 2565 ครับท่านผู้อ่านที่เคารพ เสือปีนี้เป็นเสือธาตุน้ำ พลังหยาง แสดงว่า เป็นเสือผู้ชายที่ไม่ค่อยดุ เราจึงเห็นเสือปีนี้ส่วนใหญ่มีหน้ายิ้ม อ้วนพีน่ารักมากกว่าน่ากลัว ก็หวังว่า “พลังหยาง” ของ พญาเสือ ในปีนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจสังคมไทยฟื้นกลับมาแข็งแกร่ง สามารถฟันฝ่าอุปสรรคอันเลวร้ายทั้งหลายให้ผ่านพ้นไปด้วยดี หวังว่าจะมี พลังอันเร้นลับ ดลบันดาลให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองคิดเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้นวันนี้ยังเป็นวันหยุดชดเชยปีใหม่ ผมขอนำ พระธรรมเทศนา ของ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) เรื่อง “ยอดแห่งความสุขของมนุษย์” มาเล่าสู่กันฟังนะครับ เพื่อเป็นหลักคิดในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข จะได้มากหรือน้อยก็อยู่ที่ความพอเพียงของแต่ละคนครับท่านพุทธทาส บอกว่า สิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” ย่อมแตกต่างกันตาม ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของความรู้สึกภายในใจเป็นคนๆ หรือชั้นๆไป ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชั้น 1.ความสุขของปุถุชน 2.ความสุขของกัลยาณปุถุชน 3.ความสุขของพระอริยเจ้า หรือคนผู้มีความรู้สึกสูงสุดด้วยปัญญาไปดูความสุขแต่ละชั้นกันครับ1.ความสุขที่เป็นรากฐาน คือ ความไม่เบียดเบียนกันและกันทั้งตนเองและผู้อื่น การเบียดเบียนท่าน เป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนตอบ และกลายเป็นการเบียดเบียนกันไปมา จนกลายเป็นคนที่ต้องระแวงภัยหวาดหวั่นอยู่เสมอ แม้นอนหลับก็มิวายฝันไปในทำนองชั่วร้าย การเบียดเบียนท่านจึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง เป็นการเผาลนตัวเอง ทั้งที่บางคราว ฝ่ายที่ถูกเบียดเบียนยังไม่รู้ว่าใครเบียดเบียน หรือคิดตอบแทนผู้เบียดเบียน ก็เริ่มเป็นผู้หวาดหวั่นระแวงภัยเสียแล้ว การเบียดเบียนตนโดยส่วนเดียว เช่น การดื่มน้ำเมาแม้ไม่ถึงผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็เบียดเบียนแฝงอยู่อย่างลี้ลับ เช่น คนในครอบครัว เพื่อนบ้านความสุขอันเกิดจากความไม่เบียดเบียนกันและกัน คือ สมาคมกันได้อย่างเยือกเย็นสนิทสนม มองดูกันด้วยสายตาอันแสดงความรัก ไม่ต้องเมินหน้าหรือหลบตากัน นำให้เกิดความรู้สึกว่า คนทั้งโลกล้วนเป็นบิดามารดาญาติพี่น้องของตนเอง ไม่ต้องระแวงภัยทั้งหลับและตื่น นี่คือความสุขอันผลิตออกมาจากการไม่เบียดเบียน เป็นรากฐานของความสุขที่สูงยิ่งขึ้นไป2.ความสุขในชั้นกลาง เมื่อเขยิบสูงขึ้นมาถึงขั้นนี้ ตัวความสุข ได้แก่ การคายออกเสียได้ซึ่งการยึดถือเอาด้วยความกำหนัดรัก อันมีอยู่ในสิ่งเย้ายวนในโลกนี้ จะเป็นพวกรูปธรรม รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือเป็นพวกนามธรรม ยศศักดิ์ สรรเสริญ ล้วนเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดรัก เป็นเหมือนเหยื่อที่หุ้มเบ็ดเอาไว้ ความสุขอันเกิดจากสิ่งเหล่านี้ จึงเป็นความสุขปลอม ไม่จีรังยั่งยืน เป็นเพียงความเพลิน พระพุทธองค์จึงไม่ทรงยกขึ้นเป็นความสุขสิ่งที่น่ารักทั้งหลายที่เรียกกันว่า “กามคุณ” เป็นเหตุให้เกิดความสุข แต่ต้องอาศัยความกำหนัด ความรัก ความยั่วยวน ความพอใจ เข้าช่วย จึงจะเป็นความสุขได้ เมื่อมีความสมหวังแล้วก็เคยชิน เบื่อและแส่หาใหม่สืบไป จึงเป็นของเผาลนอยู่เสมอ เมื่อกำลังมัวเมาหลงรักอยู่ยอมรับทุกประการเพื่อบำรุงบำเรอของรักจนกว่าจะเบื่อ เป็นทางเกิดขึ้นแห่งความหึงหวงอิจฉาริษยา ยิ่งเมื่อยังไม่ได้ภายในใจมิได้มีมนุษยธรรมอาศัยอยู่เลย คือทะยานอยากและคำนึงหาอุบายที่จะให้ได้สมอยากเท่านั้น ความกำหนัดรักเป็นบ่อเกิดของความโศก ความกลัว ความระแวง ฯลฯพระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า “ความอยากนั้น ดึงจูงไปได้รอบๆซึ่งคนเรา” หมายความว่าเราแพ้โดยประการทั้งปวง จอมวีรบุรุษที่ชนะคนทั้งโลก แต่อาจมาแพ้ผู้หญิงคนเดียว ก็เพราะตนของตนไม่มี มีแต่ตนของความอยาก เราจะเป็นผู้ชนะความอยากได้ ก็ด้วยการปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธโอวาทว่า “ความมีสติระลึกได้ทันท่วงทีก่อน” เพื่อ เป็นผู้ไม่หลงใหลมืดมน จนจิตบังคับจิตและกายไว้ไม่ได้ ยอมมอบตนให้ไปเป็นสิทธิ์แก่อารมณ์นั้น.“ลม เปลี่ยนทิศ”