แม้โลกจะยังถูกจองจำอยู่กับโควิด-19 เป็นปีที่ 2 แต่ปี 2564 ก็ยังมีเรื่องราวให้จดจำจารึก เปิดปี แบบอึ้งไปทั้งโลกกับ “ความวุ่นวายในสหรัฐอเมริกา” หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีก่อน นาย โดนัลด์ ทรัมป์ อกหักกับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แต่ไม่ยอมรับผลพ่ายแพ้ต่อนาย โจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ที่คว้าชัยได้เก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 46 ไป สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น เมื่อกลุ่มคลั่งทรัมป์หัวรุนแรงบุกรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อ 6 ม.ค. เพื่อขัดขวางการลงมติรับรองชัยชนะของไบเดน ม็อบหนุนทรัมป์ถูกปลุกระดมทั้งจากทรัมป์และทีมงาน เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตนเดินทางไปรัฐสภา เหตุการณ์เลยเถิด มี 5 รายดับสังเวยความวายป่วง ทรัมป์ถูกตั้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่น แต่ก็รอดตัวเพราะมติของวุฒิสภาสหรัฐฯ โหวตเอาผิดไม่ถึง 2 ใน 3 แต่ตอนนี้ผู้ก่อความวุ่นวายก็ถูกไล่เช็กบิลแล้ว ขณะที่ทรัมป์ก็มีคดีจ่อหลายกระทง อาทิ 4 คดีแพ่งที่เกี่ยว ข้องกับม็อบบุกรัฐสภา ซึ่งผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้กำหนดให้ 10 ม.ค. 2565 เป็นวันพิจารณาว่า 3 ใน 4 คดีนี้จะยก ฟ้องหรือไม่...ชะตากรรมอดีตผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 45 คงเป็นหนังยาว อาเซียน ก็ติดโผวุ่นวายแห่งปี โดยเฉพาะรัฐ ประหารในเมียนมาที่ส่อเค้ามาตั้งแต่ปลายปีก่อน เมื่อพรรคสันนิบาตแห่ง ชาติเพื่อประชาธิปไตย ของนาง ออง ซาน ซูจี ชนะขาดคู่แข่งพรรคสหสา มัคคีและการพัฒนา ที่ว่ากันว่ากองทัพหนุนอยู่ แต่ยังไม่ทันเปิดประชุมสภาเพื่อรับรองผลเลือกตั้ง วันที่ 1 ก.พ.กองทัพก็ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนและส่งต่อให้ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นางซูจีและสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีถูกคุมตัว ประชาชนก็ลุกฮือประท้วงและต่อสู้นานเป็นเดือน ฝ่ายทหารตั้งข้อหา ซูจี 11 คดี ประเดิมคดีแรกคือยุยงปลุกปั่นและละเมิดกฎคุมโควิด-19 ศาลตัดสินโทษจำคุก 4 ปีก่อนจะลดเหลือ 2 ปี วิบากกรรมซูจี วัย 76 ปียังต้องเผชิญคดีคอร์รัปชันอีกหลายข้อหา แต่ละข้อหามีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี...โทษรวมๆแล้วก็น่าจะร่วม 100 ปี ระอุ ฝั่งตะวันออกกลางต้องยกให้ “สถานการณ์ในอัฟกานิสถาน” อันเป็นไปตามข้อตกลงสันติภาพของสหรัฐฯกับตาลีบันที่ลงนามกันในสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเข้าสู่ยุคไบเดน ได้กำหนดให้ 31 ส.ค.เป็นวันสุดท้ายของการถอนกำลัง ซึ่งกองทัพสหรัฐฯ และกองกำลังพันธมิตรนานาชาติ ก็ปิดฉากปฏิบัติการ 20 ปี ถอนกำลังและอพยพพลเรือนออกจากอัฟกานิสถานจบในคืนวันที่ 30 ส.ค. ในขณะเดียวกันกลุ่มตาลีบันก็ไล่โจมตียึดเมืองต่างๆ จนถึงกรุงคาบูลและโค่นรัฐบาลอัฟกานิสถานภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี อัชราฟ กานี ได้สำเร็จ ภาพวันคาบูลแตกได้เห็นชาวอัฟกันอพยพหนีวิ่งกรูแย่งกันขึ้นเครื่องบินลำเลียงของทหารสหรัฐฯ หวังไปตายเอาดาบหน้า มีผู้เคราะห์ร้ายอย่างน้อย 3 รายร่วงตกลงมาไปไม่ถึงฝั่งฝัน...เป็นภาพสุดสะเทือนอารมณ์ไปทั่วโลก ข่าวร้อน ของ “ราชวงศ์” ทั่วโลกลำดับแรกคือการสูญเสีย เจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ซึ่งสิ้นพระชนม์อย่างสงบเมื่อ 9 เม.ย.ในพระชนมายุ 99 พรรษา ลำดับต่อมาคือเสียงวิจารณ์ดังขรมหลังได้ชม เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน มาร์เคิล พระชายา ควงคู่ประธานสัมภาษณ์พิเศษกับ โอปราห์ วินด์ฟรีย์ เจ้าแม่ทอล์กโชว์ทีวีอเมริกัน ออกอากาศทางช่องซีบีเอสในสหรัฐฯ เมื่อ 7 มี.ค. ซึ่งดัชเชสแห่งซัสเซกซ์จัดเต็มถึงความคับข้องใจ เช่น ถูกเหยียดสีผิว หรือทุกข์ใจจนรู้สึกอยากปลิดชีวิตตัวเอง รวมถึง อาร์ชี พระโอรสไม่ได้รับการอวยยศเป็นเจ้าชาย ดังนั้น การปรากฏพระวรกายของเจ้าชายแฮร์รีโดยไร้พระชายาข้างกายในงานพิธีพระศพของเจ้าชายฟิลิป จึงเป็นที่จับตาของสาธารณชนทั่วโลก ฝั่งราชวงศ์ญี่ปุ่นก็มีประเด็นร้อนเรื่องการฝ่ามรสุมชีวิตรักของ เจ้าหญิงมาโกะ พระชันษา 30 ปี พระธิดาองค์โตในเจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นและเจ้าหญิงคิโกะ ที่ตัดสินพระทัยเสกสมรสกับ นายเคอิ โคมุโระ คู่รักสามัญชนและอดีตสหายร่วมชั้นเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อ 26 ต.ค. ที่ชาวญี่ปุ่นมองว่าฝ่ายชายไม่คู่ควรกับเจ้าหญิง เพราะครอบครัวด่างพร้อยเรื่องการเงิน ทว่า เจ้าหญิงมาโกะ ก็ได้สละฐานันดรศักดิ์และปฏิเสธเงินราว 45 ล้านบาท ที่ทรงมีสิทธิได้รับตามมาตรา 6 ของกฎหมายเงินได้ราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้ทรงตามสามีทนายความ ไปเริ่มชีวิตสามัญชนที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ วงการ บันเทิงก็มีเหตุสลดแห่งปี ในกองถ่ายหนังแอ็กชันเรื่อง “รัสต์” (Rust) ที่ไร่โบนันซา ครีก โรด เมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก ในสหรัฐฯ เมื่อ อเล็ก บอลด์วิน ดาราฮอลลีวูดวัย 63 ปี ยิงปืนประกอบฉากใส่ ฮาลีนา ฮัตชินส์ ผู้กำกับภาพหญิงวัย 42 ปี ลาโลก ตำรวจสืบสวนพบว่าปืนมีกระสุนจริง ขณะดาราดังเผยไม่รู้ว่ามีกระสุนจริง สืบสาวพบว่า เดฟ ฮอลส์ ผู้ช่วยผู้กำกับ เป็นคนนำปืนมาให้ แถมบอกว่าปืนไม่มีกระสุน คดีนี้ยังสอบสวนต่อเข้ม ซึ่งตำรวจออกหมายค้นโทรศัพท์มือถือของ บอลด์วิน ด้วยสงสัยว่าอาจมีหลักฐานเกี่ยวข้องกับการตายของผู้กำกับภาพหญิง โลกร้อน ยังเป็นเรื่องใหญ่ “การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26)” ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ ประชุมกันในสกอตแลนด์ เมื่อ 31 ต.ค.-12 พ.ย.ได้ข้อสรุปคือให้จัดทำเอกสารร่างข้อตกลงสู้โลกร้อน ประเทศต่างๆต้องทบทวนและเข้มข้นกับแผนลดการปล่อยมลพิษในปีหน้า กำหนดกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อบรรลุการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ในกลางศตวรรษนี้ ย้ำให้จริงจังกับการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงต้องเร่งยุติการใช้ถ่าน หินและใช้เงินอุดหนุนเชื้อ เพลิงฟอสซิล เพิ่มการสนับสนุนทางการเงินเป็น 2 เท่าแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมฟังแล้วเมินหน้าพร้อมประณามว่าร่างข้อตกลงนี้ไม่ใช่แผนการแก้ปัญหา ปิดท้าย เรื่องการปูทางสู่ “ธุรกิจท่องเที่ยวอวกาศ” เริ่มจาก เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน มหาเศรษฐีอังกฤษเจ้าของอาณาจักรเวอร์จิน กรุ๊ป ทะยานสู่อวกาศด้วยเครื่องบินจรวดวีเอสเอส ยูนิตี ของเวอร์จิน กาแล็กติก ตามด้วยอภิมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส ขึ้นจรวดนิว เชพเพิร์ด ของบริษัทบลู ออริจินไปแตะอวกาศบ้าง การเดินทางของ 2 เศรษฐีนี้ชี้ถึงผลสำเร็จของการท่องอวกาศด้วยยานเอกชน เชื่อว่าจะเรียกเศรษฐีกระเป๋าหนักที่อยากได้ประสบการณ์สุดพิเศษในอนาคต ขณะที่ อีลอน มัสก์ ที่เพิ่งได้ตำแหน่งบุคคลแห่งปี 2564 โดยนิตยสารไทม์ ถึงจะยังไม่ขึ้นตามไปแต่บริษัทสเปซเอ็กซ์ของเขาก็สร้างยานรองรับมหาเศรษฐีที่พร้อมจ่ายเพื่อเติมเต็มความฝันกับประสบการณ์เหนือโลก ซึ่งภารกิจ SpaceX Inspiration 4 ก็ได้กลายเป็นทริปประวัติศาสตร์ของการส่งเที่ยวบินไปท่องอวกาศเป็นครั้งแรก.ทีมข่าวต่างประเทศ