ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2 ฉบับ ถูกตีตกในสภาอย่างเงียบๆ ฉบับแรกเสนอโดยนายจอน อึ๊งภากรณ์ พร้อมกับประชาชน 12,609 คน ถูกควํ่าด้วยคะแนน เสียง 234 ต่อ 162 ฉบับที่ 2 เสนอโดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะ ถูกตีตกด้วยคะแนนเสียง 229 ต่อ 157ร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับถูกขนาน นามว่า เป็นกฎหมายล้างมรดกเผด็จการของคณะรัฐประหาร คสช. มีทั้งประกาศและคำสั่งรวม 29 ฉบับ ที่ยังมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย แต่เป็นกฎหมายที่ขัดหลักสิทธิเสรีภาพ และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญเรื่องที่น่าตกใจก็คือ ผู้ที่คัดค้านการยกเลิกคำสั่งเผด็จการเหล่านี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเสียงข้างมากของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่ใช่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ตัวอย่างของประกาศของ คสช.ที่ ส.ส.คัดค้านไม่ให้ยกเลิก เช่น ฉบับที่ 7/2557 ห้ามชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่าจะต้องขัดรัฐธรรมนูญแน่นอนรัฐธรรมนูญมาตรา 44 เขียนไว้ ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” น่าเสียดายที่ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อ ส.ส.ที่คัดค้าน แต่เชื่อว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล แต่ก่อนการลงมติ มี ส.ส.อภิปรายถึง 24 คน แทบจะไม่มีเสียงคัดค้าน มีแต่อภิปรายสนับสนุน แต่เสียงข้างมากกลับควํ่าร่างกลางสภากลายเป็นเรื่องที่น่างุนงงสงสัย มีใบสั่งจากใครให้ยกมือปกป้องมรดกเผด็จการให้อยู่ยั้งยืนยงสืบไป นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) โอดครวญว่า เป็นอีกวันหนึ่งที่รู้สึกผิดหวัง เสียใจ และโกรธ ที่เสียงข้างมากของ ส.ส.ไม่รับหลักการโดยไม่ชี้เหตุผลผู้จัดการไอลอว์ปลอบใจประชาชน ว่า หากเสียใจและโกรธ เรายังมีอำนาจลงโทษ ส.ส.ได้ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอให้จดจำไว้ว่าใครไม่รับหลักการ อย่าเลือกคนเหล่านั้นกลับมา เรื่องที่น่าเสียใจและผิดหวังอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องยอมให้บรรดาคำสั่งของ คสช. กลายเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับประชาชนต่อไปเช่นเดียวกับการที่รัฐบาลฉวยโอกาสที่เกิดโรคระบาดขึ้นในประเทศ งัดเอา พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาประกาศใช้ทั่วประเทศ ห้ามชุมนุมทางการเมืองโดยเด็ดขาด และต่ออายุ พ.ร.ก.ซํ้าแล้วซํ้าเล่า เหมือนกับรัฐบาลคณะรัฐประหารบางคณะในอดีต ประกาศใช้กฎอัยการศึกปกครองประเทศแทนรัฐธรรมนูญ กลายเป็นกฎหมายสูงสุด.