ตื่นซะที!! พวกบ่นเก่งชอบแซะว่าเมืองไทยย่ำอยู่กับที่ เพราะไม่มีธุรกิจไฮเทคใหม่ๆมาเป็นตัวไดรฟ์ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจเหมือนชาวโลก ทั้งๆที่เรามีของดีเยอะแยะ โดยเฉพาะศักยภาพโดดเด่นด้าน การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “Wellness Tourism” ซึ่งไม่เพียงเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่จะมาแทนธุรกิจการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม แต่ “Wellness Tourism” ยังมีอิทธิฤทธิ์พอจะเป็น “ยูนิคอร์นใหม่ของเศรษฐกิจไทย” ที่มาพลิกฟื้นประเทศ หลังสะบักสะบอมอย่างหนักจากวิกฤติโควิด-19 ประเทศไทยโด่งดังเรื่องการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ “Medical Tourism” มานานแล้ว แต่การขับเคลื่อนด้วยฝั่งการแพทย์อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องผนึกกำลังดึงดูดนักท่องเที่ยวไฮเอนด์กลุ่ม “Wellness Tourism” มากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้คือคนไม่ป่วยที่มีกำลังซื้อสูง อยากออกไปกินไปเที่ยว ไปออกกำลังกาย ใช้บริการสปา และนวดไทย เข้าคอนเซปต์ “เที่ยวไปดูแลสุขภาพไป” จบครบในทริปเดียวทั้งเช็กอัปร่างกาย, ปรับพฤติกรรมด้านสุขภาพ และใช้บริการต่างๆเพื่อดูแลสุขภาพเชิงรุกโดยไม่ต้องรอให้เจ็บป่วย ก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เฉพาะปี 2562 ธุรกิจ “Wellness Tourism” สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยสูงถึง 2 ล้านล้านบาท คาดว่าเมื่อประเทศไทยเปิดน่านฟ้ารับนักท่องเที่ยวเต็มร้อย จะสร้างโอกาสใหม่ๆอันสดใส นำรายได้มหาศาลเข้าประเทศ จากข้อมูลการศึกษาวิจัยของสถาบัน “Global Wellness Institute” บ่งชี้ว่า มูลค่าตลาดรวมของเศรษฐกิจด้านสุขภาพทั่วโลก ในปี 2561 สูงถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตเฉลี่ยปีละ 6.4% โดยรายได้หลักอันดับหนึ่งมาจากกลุ่มธุรกิจการดูแลส่วนบุคคล, ความสวยความงาม และการชะลอวัย มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามมาด้วยธุรกิจเกี่ยวกับการออกกำลังกาย 828,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันดับสามคือ ธุรกิจโภชนาการเพื่อสุขภาพและการลดน้ำหนัก มูลค่า 702,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันดับสี่ ยกให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ฟาดรายได้ไป 639,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอันดับห้า เป็นของธุรกิจด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive & Personalized Medicine) มีมูลค่า 575,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าเจาะให้ลึกจริงๆ ธุรกิจ “Wellness” ตามคำนิยมของ “ศ.ดร.นพ.ภูดิท เตชาติวัฒน์” ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพอาเซียน หมายถึงการแสวงหากิจกรรมทางเลือกและวิถีชีวิต ที่นำไปสู่สภาวะสุขภาพองค์รวม เพื่อให้มีสุขภาพกายแข็งแรง, สุขภาพจิตดี, สังคมดี และสิ่งแวดล้อมดี โดยสามารถต่อยอดขยายผลไปได้หลายภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism), อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ (Wellness Real Estate), เวชศาสตร์ชะลอวัย, การแพทย์เชิงป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล ตลอดจนถึงการแพทย์แผนดั้งเดิมและการแพทย์ทางเลือก จากข้อมูลเปรียบเทียบรายได้ระหว่าง “Medical Tourism” กับ “Wellness Tourism” ของประเทศไทยในปี 2562 พบว่า “การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์” ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากกว่า 3.6 ล้านคนต่อครั้งสร้างรายได้การท่องเที่ยว 41,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 9,195 คน ขณะที่ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” มีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มาไทยกว่า 12.5 ล้านคนต่อครั้ง สร้างรายได้การท่องเที่ยว 409,200 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 530,000 คน โดยกิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงกว่ากิจกรรมทั่วไป โดยนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพยินยอมจ่ายเพื่อแลกกับประสบการณ์ล้ำค่า จากสถิติพบว่านักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากต่างประเทศมีแนวโน้มจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคนไทย ที่ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 162% วิกฤติโควิด ทำให้คนรักตัวกลัวตายและเป็นห่วงสุขภาพมากขึ้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลจะต้องเร่งปรับโครงสร้างการท่องเที่ยวของไทยขนานใหญ่ เพื่อปลุกปั้น “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ให้เป็นยูนิคอร์นตัวใหม่ที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย.