แอปเปิล ได้นำ แอปเปิล ทีวี 4K รุ่นที่ 2 (Apple TV 4K) ออกจำหน่ายเมื่อต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ว่างเว้นมา 4 ปีเต็มๆ สำหรับ Apple TV 4K รุ่นแรก มี 2 รุ่นด้วยกันคือรุ่น 32 GB ราคา 6,700 บาท และรุ่น 64 GB ราคา 7,400 บาทตัวดีไซน์จะเหมือนรุ่นเดิมเป๊ะๆ เป็นกล่องดำขนาดเล็ก ขนาด 98×98×35 มม. ด้านหลังมี 3 พอร์ต คืออีเธอร์เน็ต, ช่องเสียบอะแดปเตอร์และ HDMI การควบคุมกล่องจะผ่านรีโมตและผ่านเสียง Siri หรือใช้แอปในไอโฟนก็ได้ หน้าจอยูสเซอร์ อินเตอร์เฟซเหมือนรุ่นเดิมทุกอย่าง แต่สิ่งใหม่คือชิปใหม่ A12 Bionic รองรับวิดีโอ 4K HDR (High Dynamic Range) Dolby Vision ที่เฟรมเรต 60 เฟรมต่อวินาที และระบบเสียง Dolby Atmos ให้เสียงธรรมชาติและสมจริง รวมทั้งระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด tvOS 14.7 เพิ่มประสิทธิภาพด้านกราฟิก การถอดรหัสวิดีโอ และการประ-มวลผลเสียงแต่สิ่งใหม่ที่เห็นได้ รีโมต ออกแบบมาใหม่หมด มีขนาดใหญ่ขึ้น มีปุ่มเปิด-ปิด และปุ่มสไตล์ D-Pad ควบคุมแบบวงกลมเหมือนการใช้ iPod ในยุคก่อน แต่ไม่มีปุ่มเมนู และ ปุ่ม Siri ถูกย้ายไปด้านข้างแทนรวมทั้งการปรับสมดุล สีใหม่ (Color Balance) โดยใช้ไอโฟนและเซ็นเซอร์เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพของทีวี โดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงเพื่อเปรียบเทียบสมดุลสีให้ตรง ส่ง สัญญาณวิดีโอให้มีสีที่ถูกต้องยิ่งขึ้น พร้อมปรับปรุงคอนทราสต์โดยอัตโนมัติ โดยต้องปรับการตั้งค่าทีวี หลังจากทดลองการใช้งาน Apple TV 4K 2021 มาเกือบหนึ่งเดือน เหมาะมากสำหรับการใช้รับชมสตรีมมิง ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์จากแอป Apple TV+, Disney+ Hotstar หรือ Netflix ที่คอนเทนต์ใหม่ๆรองรับ Dolby Vision ให้ภาพสวยงามชัดเจนมาก สีสันที่สมจริง ให้รายละเอียดบนพื้นที่สว่างและมืด นับเป็นกล่องรับชมคอนเทนต์สตรีมมิงที่ให้ภาพและเสียงสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันสำหรับสมาร์ททีวี ในปัจจุบันที่มีแอปพลิเคชันรองรับการใช้งาน และใช้แอป Apple TV ได้หลายแบรนด์ ถ้ามีอยู่แล้วก็ใช้ดูคอนเทนต์ได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อกล่องนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าทีวีบางแบรนด์จะอัปเดต แอปได้หรือไม่สำหรับผู้ที่มีกล่องรุ่นเดิม Apple TV 4k อยู่ รับชมได้ที่เฟรมเรต 50 ซึ่งให้ภาพสวยงามชัดเจนอยู่แล้ว คงไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนเท่าใดนักนอกจากจะได้ชิปใหม่ แรงขึ้นและรีโมตใหม่จับถนัดมือกว่า และหากจะใช้งานเต็มรูปแบบในอีโคซิสเต็มของแอปเปิลก็ควรจะซื้อไว้ เล่นเกมได้จาก Apple Arcade ได้แต่น่าเสียดาย แอปเปิลควรจะแถมสาย HDMI มาให้ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อเพิ่มและควรจะเป็น HDMI 2.1 รองรับ Dolby Vision เฟรมเรต 60 และในอนาคตเฟรมเรต 120 หากมีการอัปเกรดกัน และที่สำคัญทีวีที่รับชมจะต้องรองรับ 4K เฟรมเรต 60 และ 120 ด้วยยิ่งเฟรมเรต 120 จะเหมาะสำหรับคนชอบเล่นเกมลื่นไหลบนจอยักษ์ได้ถึงใจ.