แถลงการณ์ของ 70 คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย เรื่องข้อกำหนดของนายกรัฐมนตรี ที่ออกตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ฉบับที่ 29 ห้ามเสนอข่าวอันอาจก่อให้ประชาชนหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ที่ใจความตรงกันอย่างหนึ่งคือเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญแถลงการณ์ของคณาจารย์นิติศาสตร์ระบุว่า ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ที่ออกโดยนายกรัฐมนตรี ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 34 มาตรา 35 และมาตรา 29 ประกอบมาตรา 26 สมควรให้มีการเสนอคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย ก็ยืนยันว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ละเมิดเสรีภาพในการเสนอข่าวและการแสดงความคิดเห็นคณาจารย์นิติศาสตร์เห็นว่า แม้จะมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนชี้แจงว่า ถ้าเป็นการเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงไม่ผิด แต่ความเห็นดังกล่าวไม่มีผลผูกพันเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการหรือศาลข้อ กำหนดที่มีข้อความที่คลุมเครือ อาจถูกตีความและนำไปบังคับใช้ตามอำเภอใจ เสรีภาพของประชาชนและสื่อไม่มีหลักประกันทั้งหมดนี้เป็นความเห็นที่สอดคล้องกับศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ท่านหนึ่ง ที่เสนอว่าถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทยจะต้องยกเครื่อง พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน โดยยกเลิก พ.ร.ก.หรือพระราชกำหนด ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล เปลี่ยนมาเป็น พ.ร.บ. หรือ พระราชบัญญัติ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาตรวจสอบพ.ร.ก.ฉุกเฉินประกาศใช้เมื่อปี 2548 ออกแบบมาเพื่อป้องกันและปราบปรามความไม่สงบ ในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ออก พ.ร.ก.นี้ ก็ยอมรับว่าตนผิดพลาดว่า “ผมใจร้อนเอาทหารนำเร็วไป ต้องใช้การเมืองนำ” แปลว่า พ.ร.ก.ไม่สัมฤทธิผลคณาจารย์นิติศาสตร์เห็นว่าข้อกำหนดฉบับที่ 29 ใช้คำที่คลุมเครือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ให้มีสภาพบังคับ เป็นโทษทางอาญา เช่น การห้ามเสนอ “ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” ประชาชนทั่วไปไม่อาจคาดหมายได้ว่า ข้อความใดทำให้หวาดกลัว ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ และมีโทษจำคุก 2 ปีบทบัญญัติที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างกว้างขวาง สามารถละเมิดสิทธิและเสรีภาพประชาชนได้ตามอำเภอใจ คือข้อความที่ระบุว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญาหรือทางวินัย และยังห้ามนำคดีฟ้องต่อศาลปกครองด้วย นอกจากขัดต่อรัฐธรรมนูญไทยแล้ว ยังอาจขัดต่อกติกาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ.