"ตัดสินใจกลับแน่นอนแล้ว แต่ยังไม่ได้ดูฤกษ์ดูยาม" นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งฉลองครบรอบวันเกิด 72 ขวบ กับครอบครัว ณ คฤหาสน์กลางย่านเอมิเรตส์ ฮิลล์ส นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดใจให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ผ่านระบบซูมได้ตอบชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง หลัง ทีมข่าวการเมือง พยายามสอบถามถึงการเตรียมเดินทาง กลับประเทศไทยทางประตูหน้า ท่ามกลางมวลชนที่เป็นฐานเสียงเชียร์อยากให้กลับเร็วๆโดยได้ถ่ายทอดบทเรียนระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนับตั้งแต่ถูกยึดอำนาจ บางทีก็ไม่ค่อยรู้โชคชะตาชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ตามหลักศาสนาพุทธใช้คำว่าแผนผังชีวิต ทุกคนเกิดมามีผังชีวิตตัวของเราไม่รู้ อ่านผังชีวิตไม่เป็น แต่มีคนรู้อาจจะอ่านได้ว่าชีวิตต้องไปเจออะไรบ้าง แต่ไม่มีเวลากำหนดเป๊ะ อยู่ที่จังหวะชีวิต ขึ้นอยู่กับผลบุญผลกรรม สรุปเราบอกไม่ได้ แต่ต้องทำให้ดีที่สุด ต้องยอมรับ อย่าปฏิเสธมันอย่างผมยอมรับว่าปีแรกที่ถูกรัฐประหารออกมาอยู่ต่างประเทศ ผมก็โกรธนะ ทำความดีขนาดนี้ ยังโดนขนาดนี้ ผลสุดท้ายคิดได้ อย่าจมอยู่กับอดีต อดีตคือบทเรียน ต้องอยู่กับปัจจุบันและอนาคต ชีวิตต้องเดินต่อไปครบ 1 ปี ก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าตกลงบ้านเราอยู่ที่เมืองไทยเท่านั้นเหรอ ต้องคิดว่า โลกทั้งใบคือบ้านของเรา อยู่ไหนก็ตามพระพุทธเจ้าบอกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง ทุกสิ่งเป็นแค่สิ่งสมมติฉะนั้น เสียเวลาทำไม บ้านเราอยู่อังกฤษ อยู่นครดูไบ ก็มีความสุข และเริ่มทำมาหากิน ผลสุดท้ายเลี้ยงตัวเองได้ ไม่เดือดร้อน มีความสุข ลูกเต้า หลานๆมาเยี่ยม มีความสุข อย่าไปทุกข์กับมันพอมองย้อนกลับไปประเทศไทย อดเป็นทุกข์ อดเป็นกังวลไม่ได้ ในฐานะคนเคยเป็นนายกฯ ทำงานให้บ้านเมือง ห่วงใยประชาชน มันไม่รู้จะให้อะไร นอกจากให้ความรู้ ให้ประสบการณ์ ก็แล้วแต่ผู้นำประเทศจะทำเป็นหรือไม่วันนี้ยังมีความแค้นทางการเมืองอย่างไร นายทักษิณ บอกว่า ผมเป็นคนใจกว้าง สร้างสรรค์ ไม่ใช่เป็นคนชอบทำลายคน หรือมองโลกในแง่ร้าย เป็นคนคิดบวกตลอดเวลาเป็นคนใจดีไม่เคียดแค้น ให้อภัยตลอดเวลาแต่จำได้ทุกเรื่อง เป็นคนความจำดีมากการให้สัมภาษณ์คราวนี้ มีการเน้นย้ำถึงการกลับประเทศหลายครั้ง และได้พูดถึงบุคคล 4 คน ซึ่ง 3 คนแรกยังอยู่ในอำนาจ โดยนายทักษิณระบุว่า...“...ตอนนี้จำ 3 ป.ได้แม่น เพราะมีความเกี่ยวพันกันทั้ง 3 ป. เลยรู้จักกัน” 3 ป.ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย รู้จักกันในนาม “บิ๊กป๊อก”ขณะที่อีก 1 คน มีการพูดถึงระหว่างสัมภาษณ์ในประเด็นระบบสาธารณสุขพื้นฐาน โดย นายทักษิณ แนะนำนายกฯให้แก้ปัญหาต้องฉุกเฉินตามการประกาศภาวะฉุกเฉิน อย่าใช้วิธีแก้ปัญหาแบบปกติ ขอให้สวมชุดพีพีอีลงสนามไปดูคนป่วย เพื่อขับเคลื่อนกลไกที่ติดขัด และฟื้นกระแสศรัทธาให้กลับมาพร้อมยกตัวอย่าง สมัยที่ตัวเองเป็นนายกฯ มีเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ผมบุกไปนอนในค่ายทหารโดยไม่ให้รู้ตัว ผบ.แดง เป็นผู้พันโทอยู่ (ผบ.ร.11 พัน. 2 รอ.) อย่าไปกลัว ทำงานไป ตายคาตำแหน่งนายกฯ เพราะทำงานโลกสรรเสริญ แต่ตายเพราะประชาชนไล่ไม่ไป แบบนี้คนแช่งแน่นอน” ปัจจุบัน “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. และรองเลขาธิการพระราชวังและยังยอมรับความผิดพลาดสมัยเป็นนายกฯ โดยยกตัวอย่างแก้ไขปัญหาภาคใต้ “ผมใจร้อน เอาทหารนำเร็วไป เมื่อกลับมาทบทวนพบว่าต้องใช้การเมืองนำ”ผลงานที่ยังภูมิใจตลอดมีหลายเรื่อง แน่นอนกองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค การกอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา โดยใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟที่สำคัญตลอด 15 ปี ที่อยู่ต่างประเทศ เดินทางเยอะ คบผู้คนในหลายระดับ เห็นถึงความสำเร็จ และความล้มเหลวของการเมืองในแต่ละประเทศพอสมควรมีประสบการณ์พอที่จะมองย้อนกลับไปในประเทศไทย วันนี้ต้องยอมรับว่าภาพรวมเราล้าหลังมาก ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของ โลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา และเทคโนโลยีเพราะวิธีคิดยังเป็นแบบโบราณ หรือคิดแบบทหาร วันนี้ขอให้เป็นทหารคนสุดท้ายในการบริหารประเทศ ต้องยอมรับว่าพวกคุณล้าหลังเกินกว่าจะขึ้นมา เป็นผู้นำตอนนี้ฉะนั้นวิกฤติครั้งนี้ต้องปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ทั้งระบบเศรษฐกิจและระบบราชการ แต่ไม่ใช่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งวันนี้เข้าใจคำว่าไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรในทางการเมืองอย่างไร เพราะวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นจากคนใกล้ชิด คนใกล้ตัว นายทักษิณ เปรียบเปรยให้เห็นภาพของประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน ไม่กว้างใหญ่เพราะข้างบนมันแคบนิดเดียว เจอรู้จักกันหมด ทุกคนมีแนวทางชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกคนมีความอยากจะสร้างตัวเองขึ้นมาในหลายรูปแบบ บางคนมีจริยธรรม บางคนไม่มีจึงเข้าใจดีในหมู่คนที่กระเสือกกระสนเข้าสู่อำนาจมันไม่มีคำว่ามิตรแท้และศัตรูที่ถาวร “แต่ถึงอย่างไรก็กลับ เพราะผมยังรักพี่น้องชาวไทย ที่ยังรัก ห่วงใยและกังวลถึงผมอยู่ ผมยังห่วงใยประเทศไทย อยากกลับไปกราบคนที่ผมรัก เคารพ และห่วงใยอยู่เสมอ พร้อมกราบแผ่นดินเกิดของผมสำคัญสุดคือ การเลี้ยงหลาน ถ้าแข็งแรงต่อไปก็เลี้ยงเหลน แต่ขอเลี้ยง เพราะอยู่ในวัยรักลูกหลงหลาน”บนเงื่อนไขขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามต้องการให้อยู่ภายใต้กระบวนการยุติธรรม จะเข้าประเทศอย่างน้อยยอมติดคุกก่อน ถึงเข้าข่าย การรับนิรโทษกรรม นายทักษิณ บอกว่า...“...ผมถือว่าเรื่องอะไรก็เล็กหมด หัวใจเราใหญ่กว่า ไม่สนใจอะไรจะเกิดก็เกิด ผมเสี่ยงตายในชีวิตมาเยอะ คุกเป็นเรื่องเล็ก จะเอาผิดเข้าคุกก็เอา อะไรจะเกิดก็ไม่เป็นอะไร เกิดได้หมด เอาอย่างไรก็บอกมา ไม่มีปัญหาถ้าสปลิตออฟไทม์มันให้ ผมจะบินกลับทันที ไม่ต้องเตรียมพิธีรีตอง เป็นคนไม่ต้องมีพิธีรีตอง ง่ายๆ ขึ้นเครื่องบินแล้วลงก็จบ ขอให้รู้ว่าที่ผมกลับไป อยากใช้สมองช่วยบ้านเมือง โดยไม่ต้องมีตำแหน่ง”ยินดีช่วยหมด นายกฯเป็นใครก็ได้ที่มาจากประชาธิปไตย ต้องการประสบการณ์และความรู้จากผมแต่ถ้าปฏิวัติแล้วเอาผมไปช่วย มันไม่เหมาะสมกับอุดมการณ์โดยเฉพาะผู้ที่สนับสนุนผม สมมติบอกปฏิวัติเสร็จแล้วผมไปเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าคณะปฏิวัติ อันนั้นผมน่าจะเสียสติไปแล้ว เพราะประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในโลก แม้มีข้อด้อยบ้าง แต่ผู้เข้าสู่อำนาจรู้สึกเป็นหนี้ประชาชน อนาคตฝากไว้กับประชาชน ประชาชนก็ฝากอนาคตไว้กับผู้นำ หากทำไม่ดี ก็ไม่ได้รับเลือกอีกแต่ผู้นำที่มาโดยการปฏิวัติ ปฏิวัติปุ๊บ ประชาชนเปลี่ยนเป็นพลทหารทันที คนอยู่ใกล้ๆเป็นนายสิบ เป็นนายพัน ไม่รู้สึกเป็นหนี้ประชาชน วันนี้เห็นได้ชัดถึงความทุ่มเทให้ประชาชน มันเป็นคนละเรื่องขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามยังก้าวข้ามระบอบทักษิณไม่ได้ นายทักษิณ บอกว่า เป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อ“ผมเลยเปลี่ยนชื่อเป็นโทนี วูดซัม เผื่อเขาจะก้าวข้ามได้บ้างเพราะชื่อทักษิณมันยิ่งใหญ่มากขนาดที่เขาข้ามไม่พ้นสักที เอาไม้ค้ำถ่อก็ไม่ข้าม เลยเอาเป็นชื่อโทนี เรียบๆ ง่ายๆ สบายๆดี”วิกฤติความขัดแย้งทางความคิดสองขั้วใหญ่ จะกลับมาช่วยประเทศต้องก้าวข้ามด่านความขัดแย้งนี้ได้อย่างไร นายทักษิณ บอกว่า ถ้าอยากเห็นประเทศเจริญก้าวหน้า โดยคิดว่าผมมีมุมมองการพัฒนาประเทศ การพลิกฟื้นประเทศได้ดีกว่าคนที่อีกฝ่ายชอบ ก็โอเค ผมแคร์แค่เปิดหูรับฟัง เผื่อได้ความคิดดีสำหรับปฏิรูปประเทศมั่นใจในประสบการณ์และมันสมอง ผ่านการให้คำปรึกษา แนะนำ ไม่เคยหวงความรู้ หวงประสบการณ์ยินดีทำให้ประเทศและประชาชน เพราะผมห่วงใยประชาชนและรักประเทศไทยวันนี้อยากกลับมาช่วยประเทศชาติจริงๆประเทศเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพลิกฟื้นเพราะเจอวิกฤติและกำลังตกกระแสของการพัฒนาโลกฉะนั้น จะฉุดดึงขึ้นมาได้ต้องใช้แรงมหาศาล.ทีมการเมือง