ทุบสถิติยิ่งกว่าโอลิมปิก “โตเกียวเกมส์” กับตัวเลขเหยื่อโควิด-19 ในประเทศไทยที่ “นิวไฮ” รายวัน ทะลุขึ้นไป 1.7 หมื่น แตะระดับ 1.8 หมื่น จ่อทะลักเพดาน 2 หมื่นคน ล้อไปกับยอดตายต่อวันที่ไต่ระดับใกล้ 200 ศพ ยอดรวมทะลุ 4 พันราย เกือบครึ่งหมื่นตามปรากฏการณ์สะท้อน “ล็อกดาวน์” เอาไม่อยู่“14 วันอันตราย” ที่รัฐบาลโดย ศบค.ประกาศมาตรการเข้ม งัดเคอร์ฟิว สั่งเวิร์กฟรอมโฮม ปิดธุรกิจห้างร้านบางประเภท ห้ามทำกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก บล็อกการเดินทางข้ามจังหวัด ล็อกความเคลื่อนไหวสกัดไวรัสมรณะลุกลาม ไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้ช็อตต่อไปหนีไม่พ้น “ปิดเมือง” ตามสัญญาณหน่วยควบคุมโรคจ่อยกระดับ “ซีลเชื้อ” แบบ “อู่ฮั่นโมเดล”สถานการณ์โรคระบาดไวรัสของประเทศไทยอยู่ในห้วงขาขึ้น รุนแรงอยู่ในลำดับต้นๆของโลก ตอกย้ำการบริหารจัดการของรัฐบาลโดย ศบค.ที่ผิดพลาด ยุทธศาสตร์การรับมือวิกฤติโควิด-19 “ล้มเหลว”กลับหัวกลับหาง ผิดทิศผิดทาง ไม่ต่างจาก “วัวพันหลัก” ผ่านมาปีครึ่ง ยังวนเวียนกลับมา ณ ที่เดิมเพิ่มเติมคือเหยื่อไวรัสมรณะที่ป่วยสะสมหลัก 4-5 แสน ตายเกลื่อนกว่าครึ่งหมื่นศพบาปเคราะห์กรรมโหลดไปที่ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ล่าสุดออกอาการเม้งแตก ว้ากกลางวงที่ประชุม ครม.ออนไลน์ฉุนเฉียวใส่ทีม “โทรโข่ง” รัฐบาล เกียร์ว่าง ทำให้รัฐบาล พ่ายแพ้สงครามข่าวสารต่อเนื่องกับการย้ำข้อสั่งการในที่ประชุม ครม.ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” เน้นความสำคัญกับการจัดการข่าวปลอมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างยิ่ง และสั่งการโดยตรงให้แต่ละกระทรวง ดำเนินการแก้ปัญหาข่าวปลอมอย่างจริงจังและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นก่อนที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ งัดมาตรการควบคุมสื่อ เนื่องจากมีการเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จทำให้ประชาชนหวาดกลัวหรือข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดสับสน ปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง จนเกิดความเสียหายร้ายแรงมากขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉินฯตามด้วย “ขุนพลอยพยัก” โชว์แอ็กชันตามนายไล่ตั้งแต่ “เฮียโอ๋” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส สั่ง “เพิ่มเขี้ยว” ทีมเกสตาโป ลุยตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจฯ เพิ่มประสิทธิภาพปราบข่าวปลอม เฟกนิวส์ ตามบัญชาท่านผู้นำแข่งกันเลย ตามสไตล์ตำรวจไทย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แยกเขี้ยวขู่เสียงเขียว ยกโทษจำคุก 5 ปี เหมาใส่ขบวนการ “จัดฉาก” แชร์ภาพและคลิปวิดีโอคนเสียชีวิตบนท้องถนนจากโควิด ทำให้เกิดความตื่นตระหนก จะถูกดำเนินคดีอย่างหนักขึงขัง ดุดัน ขบวนแห่ตามผู้นำตีธงรบขั้นแตกหักในศึกชิงกระแสกู้เครดิตรัฐบาลตามเหลี่ยมเบี่ยงตัวหลบแรงกระแทกปมล้มเหลวบริหารโควิด ผู้นำโบ้ยไปเป็นความเพลี่ยงพล้ำ แพ้สงครามข่าวสาร เทกแอ็กชัน ฟาดหัว ฟาดหาง งัดกฎหมายติดหนวด สกัดเฟกนิวส์แฝงนัยบล็อกการเสนอข่าวสาร คุมเกมสื่อกระแสหลักผู้นำทหารเฒ่า 3 ป. ยังเน้น “ยุทธการไอโอ” สไตล์ถนัดปฏิบัติการข่าวจิตวิทยากับประชาชนทั้งๆที่โดยเงื่อนไขสถานการณ์มันน่าจะเลยจุดนั้นมาแล้ว ตามแนวโน้มที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมหมดความหวังในเชิงบริหาร รัฐบาลตกอยู่ในภาวะไร้ความเชื่อมั่น ผู้นำหมดเครดิต วิกฤติศรัทธาศบค. กระทรวงสาธารณสุข กทม. “มั่ว” ไปคนละทิศคนละทางอย่างที่โลกโซเชียลฯแชร์ถ้อยแถลงของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ระบุไม่มีการเลื่อนฉีดวัคซีน ตรงกันข้ามกับการประกาศของโรงพยาบาลมากกว่า 100 แห่ง ที่เลื่อนฉีดวัคซีน ย้อนคอหอย แบบนี้เข้าข่าย “เฟกนิวส์” ด้วยหรือไม่ประชาชนแยกไม่ออกข่าวปลอมกับความบ้อท่าของภาครัฐเองตามรูปการณ์เหมือนแกล้ง “ตีโจทย์ผิด” มันก็ไม่แปลกที่ยุทธการ “ติดหนวด” ของผู้นำไล่ทุบเฟกนิวส์แฝงเหลี่ยมบล็อกสื่อกระแสหลัก จะเจอแรงต้านอย่างหนักจากองค์กรสื่อมวลชนระดมพลังต่อสู้อำนาจรัฐ ปิดปากสื่อ ปิดหูปิดตาประชาชนขณะที่อีกด้าน อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ก็ฉวยจังหวะตบหน้าข้ามประเทศมาจากดูไบ ยั่ว แหย่ เบิ้ล บลัฟ “นายกฯอะไรวะ เวิร์กฟรอมโฮม”สอนเชิงรุ่นน้อง ผู้นำ “ทหารกล้า” ต้องใส่ชุด PPE ไปตรวจโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์รังสิตที่คนป่วยล้นจนเกินศักยภาพ หรือแวะไปศูนย์ฉีดวัคซีนกลาง บางซื่อที่คิวล้นจนเบียดเสียดส่อเป็นคลัสเตอร์ระบาดใหญ่ จะได้รู้ปัญหาว่าที่ประชาชนโวยเป็นเฟกนิวส์หรือของจริงฟอร์มตีกินของ “โทนี่ วูดซัม” แต่มันก็เป็นสิ่งที่ “บิ๊กตู่” เถียงไม่ออกเรื่องของเรื่อง ในระยะเวลาอันใกล้ข้างหน้าที่สถิติโควิดในประเทศไทยทั้งตัวเลขแท้จริง รวมถึงการประเมินจากพื้นฐานข้อมูลจะเริ่มถูกประมาณการออกมา จริงบ้าง มโนบ้าง สร้างความตื่นกลัวให้ประชาชน ถ้ารัฐบาลยังสับสน นายกฯไม่สามารถสื่อสารให้ประชาชนอุ่นใจได้ รัฐบาลจะยิ่งโดนถล่มอย่างหนักทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ โจทย์ปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ที่ “วัคซีนโควิด”ความหวังสุดท้าย ทางรอดเดียว ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถ “กระตุ้นภูมิคุ้มกันหมู่” ปูพรมฉีดวัคซีนสู้กับไวรัสมรณะให้คนไทยร้อยละ 70 ของประชากร 65 ล้านคน มันก็ยังเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับ “บิ๊กตู่”ล็อกดาวน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกกี่รอบ เจ็บยังไงก็ไม่จบ ภาพคนป่วยนอนรอรักษาตามบ้าน พ่อ แม่ ตายต่อหน้าต่อตาเด็ก ทิ้งลูกกำพร้า คนไร้บ้านตายข้างถนน โควิดบุกประชิดถึงตัวผู้คนในสังคมทั่วประเทศ ไม่เลือกยากดีมีจน เศรษฐี ยาจก ตายเผาทันที ไม่ได้ทำพิธี ญาติไม่ได้ดูใจ ความสูญเสียมันกระตุ้นอารมณ์แค้นเคืองผู้นำรัฐบาลต้องรบกับความเชื่อมั่นของประชาชนคนไทยที่หมดหวังหมดศรัทธา ยังไงก็แพ้วันยังค่ำต่อให้ใช้อำนาจมันก็ปราศจากความชอบธรรมตามเงื่อนไขสถานการณ์มาถึงจุดนี้ ต่อให้เล่นบทดุ เบรกกระแสต่อต้าน แต่ พล.อ.ประยุทธ์คงหลอกตัวเองไม่ได้ กับความพ่ายแพ้ยับเยินต่อโรคระบาดไวรัส ทำให้พิมพ์เขียวลากยาวอำนาจที่วางไว้สะดุดวิกฤติโควิดน่าจะอยู่อีกยาว นานกว่าอายุรัฐบาล 3 ป.นั่นก็จากพฤติการณ์ของผู้นำ “ซิงเกิลคอมมานด์” ที่ไม่หัดยอมรับความผิด เอะอะก็โทษประชาชนประมาท โยนให้คนอื่นทำผิดพลาด ไม่โทษตัวเองเอาเป็นว่า ณ จุดที่ยังพอมีเวลา พล.อ.ประยุทธ์น่าจะไล่ย้อนดูไทม์ไลน์ประกอบสถานการณ์จริงในห้วงที่ผ่านมาปีครึ่ง ตั้งแต่จุดเริ่ม นายอนุทินประเมินไวรัสอู่ฮั่นแค่ไข้หวัดธรรมดา ด่าโควิดกระจอก แทงม้าเต็งวัคซีนยี่ห้อแอสตราฯและก็เป็น “บิ๊กตู่” เองที่เออออ เคลมโบแดงประเทศเราคุมการระบาดระลอกแรกดี ไม่จำเป็นต้องจองวัคซีนเยอะพอถึงเวลาต้องตาลีตาเหลือก เพราะวัคซีนม้าเต็งแอสตราฯ มาไม่ทัน ต้องพึ่งม้าสำรองซิโนแวคที่ประชาชนไม่เชื่อมั่น แล้วทีมรัฐบาลก็ท่องสคริปต์เดียวกันอ้างวัคซีนขาดแคลน เพราะทั่วโลกแย่งกันแต่ดันกลายเป็นนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ที่ได้รับฉายา “ชวน เชื่องช้า” โชว์คอนเน็กชัน แนะรัฐบาลให้ดีลขอวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกา และติดต่อผ่านรัฐสภาจีนแผ่นใหญ่ขอบริจาควัคซีนซิโนฟาร์มนั่นสะท้อนว่า “ของมี” วัคซีนยังเหลือ แต่ศักยภาพรัฐบาลต่างหากที่เป็นเครื่องหมายคำถามท่ามกลางความเคลือบแคลงปมหัวคิว ทำให้ตอนนี้ประเทศไทยพึ่งพาวัคซีนบริจาค โดยความเมตตาของประเทศสหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น ส่งไฟเซอร์ แอสตราฯมาให้ประทังความเป็นความตายแต่ก็ยังไม่วายแย่งกัน สร้างความน่าอนาถใจโดยปรากฏการณ์ถึงขั้นมีการขึ้นบิลบอร์ดกลางย่านธุรกิจ ชวนประชาชนตามติดวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐฯบริจาคให้ประเทศ 1.5 ล้านโดส ต้องกระจายอย่างโปร่งใส ตอกย้ำความไม่ไว้วางใจมาตรฐานการจัดการของรัฐบาลตามร่องรอยเพี้ยนๆแบบที่ผู้นำหน่วยทหารทำหนังสือขอเบียดโควตาวัคซีนจากสภากาชาดไทย หรือกรณีตำรวจในจังหวัดบุรีรัมย์ เมืองหลวงค่ายภูมิใจไทย ได้บูสต์วัคซีนเข็มสาม ทั้งๆที่กรุงเทพฯเมือง หลวงประเทศไทย “โซนแดงเถือก” ผู้คนยังได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกกะปริบกะปรอยและฉากประจานชัดๆ ซัดกันต่อหน้าประยุทธ์ แบบที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.โซ้ยกับทีมหมอสาธารณสุขของนายอนุทิน ว่าด้วยปมโควตาวัคซีน ถึงขั้นถามหาความเป็นลูกผู้ชาย ที่นัวเนียกับกระแสข่าวปิดจุดฉีดวัคซีนศูนย์กลางบางซื่อ ที่จัดการเคลมโดยกระทรวงคมนาคม กทม.ได้แค่มอง “วัคซีนการเมือง” เกมแย่งผลประโยชน์บนซากศพเหยื่อโควิด เคล้าน้ำตา ความทุกข์ยากประชาชนนี่ต่างหากโจทย์ของจริง ไม่ต้องไปไล่จับเฟกนิวส์ให้ลำบากคนทั้งบ้านทั้งเมือง “ตีความโจทย์” ได้ไม่ยาก พล.อ.ประยุทธ์จะตีความโจทย์ผิดหรือแกล้งไม่รู้ ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ “จุดบอด”อยู่ตรงไหน “เสี่ยหนู” นั่งคุมเชิง รมว.สาธารณสุข ยึกๆยักๆกั๊กเกมตบจูบ เบียดแต้มวัคซีน สะสมเสบียงค่ายภูมิใจไทย เตรียมเลือกตั้งสนามใหญ่ ขณะที่ พล.ต.อ.อัศวินก็หวังทำคะแนนวัคซีนโควิด จ่อลงสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ชิงตั๋ว 3 ป. กับ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.ภายใต้ฉากตรงหน้าคนตายใกล้หลักครึ่งหมื่น คนติดเชื้อมรณะไต่ระดับ 2 หมื่นต่อวันโควิดบีบ “บิ๊กตู่” เด็ดขาดจัดการวัคซีน ผู้นำซิงเกิลคอมมานด์ จะกล้าโละ “จุดบอด” หรือไม่แต่ถ้ายังหวังพึ่งทีมเซราะกราวลากยาวอำนาจ ในใจแอบลุ้น พล.ต.อ.อัศวินลงสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ต่อจิ๊กซอว์กินรวบอำนาจตามพิมพ์เขียวเดิม แบบที่ล่าสุดบอกปัดข่าวลือ ไม่ใช่เวลาคิดลาออก ยุบสภาผู้นำตั้งท่า ฝืนลากต่อไป ท่ามกลางศพคนตายเป็นเบือ เศรษฐกิจพังพินาศ ตามข้อมูลสำนักข่าวนิเคอิของญี่ปุ่นฟันธงประเทศไทยจะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิดเป็นอันดับที่ 118 จาก 120 ประเทศ ต่ำกว่าลาว กัมพูชา เวียดนาม ตามศักยภาพการบริหารจัดการวัคซีน อย่างเร็วสุดคือ 5 ปี กว่าจะฟื้นเหมือนก่อนโควิดสภาพวิกฤติมันฟ้องประจาน หลักฐานความเสียหายชัดๆไม่ใช่เฟกนิวส์“ตราบาป” จะลบไม่ออกเลย.“ทีมการเมือง”