ทำตัวแบบ “อะมีบา” จึงจะฝ่าวิกฤติใหญ่ได้ อาจารย์หมอประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บอกอีกว่า วิกฤติประเทศไทยครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะรวมวิกฤติทุกชนิดเข้าด้วยกันทั้งสังคม เศรษฐกิจ โควิดและการเมือง เป็น “วิกฤติความซับซ้อน”...ไม่มีใครแก้ได้ยิ่งแตกแยกแบ่งข้างแบ่งขั้วยิ่งแก้ไม่ได้ “ยามสงครามคนในชาติไม่ทะเลาะกัน”...แน่นอนว่า “สงครามโรคโควิด” ใหญ่กว่าสงครามโลกที่เคยมีมาทั้งหมด “อะมีบา”...เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่ตามปกติมันก็อยู่แยกๆกัน แต่ในสภาวะวิกฤติมันจะกระจุกตัวเป็นก้อน เพราะมันทราบว่าถ้ากระจุกตัวเป็นก้อนและช่วยกันทำหน้าที่มันเผชิญสภาวะวิกฤติได้ดีกว่า“ผมคิดว่าเราไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากเลียนแบบธรรมชาติของอะมีบา อย่าลืมว่าธรรมชาติเป็นครูที่ดีที่สุด คนไทยต้องกระจุกตัวก้าวข้ามความแตกแยกทุกประเภท”เราคิดแบบแยกข้างแยกขั้วเสียจนเคยชินการเมืองแบบแยกข้างแยกขั้วไม่มีกำลังที่จะแก้วิกฤติชาติ ถ้าสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส. ส.ว. รวมกัน 737 คน ทำตัวแบบ “อะมีบา” คือ “กระจุกตัว” กันเป็นหนึ่งสามารถแก้วิกฤติการเมืองและวิกฤติอื่นๆได้อย่างรวดเร็วถ้าสมาชิกรัฐสภารวมตัวกันเป็นหนึ่งจะแก้กฎหมายหรือบัญญัติกฎหมายใหม่อะไรก็ได้ภายในวันเดียว ยามวิกฤติต้องก้าวข้ามรูปแบบและพิธีกรรมต่างๆ อันไร้สาระและใช้เวลามากเข้าสู่สาระโดยรวดเร็วถ้าสมาชิกรัฐสภารวมตัวกันเป็นหนึ่ง และศึกษาวิธีขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ ที่เรียกว่าสัมฤทธิศาสตร์ก็สามารถขับเคลื่อนนโยบายดีๆทุกชนิดไปสู่ความสำเร็จไม่มีอะไรที่จะไม่สำเร็จต่อให้ยากเพียงใดก็ตาม เมื่อนโยบายใหญ่ๆดีๆทำได้สำเร็จบ้านเมืองก็พ้นวิกฤติและเจริญอย่างรวดเร็ว ลองสำรวจทางเลือกต่างๆไม่มีเลยที่มีหวังจะฝ่าวิกฤติใหญ่ไปได้นอกจากสมาชิกรัฐสภารวมตัวเป็นหนึ่งแล้วใช้...“วิชาสัมฤทธิศาสตร์” นำบ้านเมืองไปสู่สัมฤทธิผล ที่ทั้งถูกกฎหมายด้วย ทั้งเป็นประชาธิปไตยด้วยทั้งได้ผลด้วย...ทางเลือกอื่นที่ไม่ถูกกฎหมายไม่เป็นประชาธิปไตยสุ่มเสี่ยงต่อการไม่ได้ผลและ...นำบ้านเมืองเข้าไปสู่ความยุ่งยากมากขึ้นดังที่เกิดมาแล้วซ้ำๆซากๆ “ประเทศไทย” ไม่มีเวลาที่จะทำผิดอีกต่อไปแล้ว“การตัดสินใจทางนโยบายเป็นหน้าที่ของการเมือง สิ่งที่ขาดคือการสังเคราะห์นโยบายที่ดีที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยทำและการบริหารจัดการนโยบายที่ตัดสินใจแล้วไปสู่ความสำเร็จ...เมื่อมีอะไรไม่ดีผู้คนมักเพ่งเล็งไปที่การเมือง ขาดความเข้าใจส่วนขาดที่แท้จริง คือ การสังเคราะห์นโยบายสาธารณะที่ดี และการบริหาร”เมื่อไม่สำเร็จก็ออกแบบนโยบายอีกๆ อย่างเรื่องเด็กปฐมวัย แล้วก็ไม่สำเร็จไปเรื่อยๆ เพราะขาดความเข้าใจส่วนการบริหารนโยบายไปสู่ความสำเร็จอีก 7 ขั้นตอน...เมื่อไม่สำเร็จก็ “กล่าวโทษ” และ “ทะเลาะ”กัน แตกแยกกัน เพราะคิดเชิงพฤติกรรมส่วนบุคคลขาดสมรรถนะการคิดเชิงระบบ และการจัดการฉะนั้น การทำความเข้าใจระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอน และฝึกให้ขับเคลื่อนระบบนโยบายเป็น ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จทุกเรื่อง ทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กการขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอนสู่ “ความสำเร็จ” โดยย่อมี 3 องค์ประกอบ คือ การสังเคราะห์นโยบาย...วิชาการ 4 ขั้นตอน, การตัดสินใจทางนโยบาย...การเมือง 1 ขั้นตอน และการบริหารจัดการนโยบายไปสู่ความสำเร็จ...การบริหารจัดการ 7 ขั้นตอน หลายๆคนอาจยังมองไม่เห็นภาพเป็นรูปธรรม อาจารย์หมอประเวศ ขอตัวอย่างนโยบายที่มีผลใหญ่ ท่ามกลางการขาดความสำเร็จในเรื่องดีๆของประเทศไทยที่มีบ้างและมีผลใหญ่ เช่น นโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่คุณหมอสงวนขับเคลื่อน มีผลลดความทุกข์ยากของคนจนทั้งประเทศนโยบายควบคุมการบริโภคยาสูบที่คุณหมอหทัย คุณหมอประกิต และคุณบังอร ขับเคลื่อนเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมของคนไทยทั้งประเทศ จากการคิดว่าสูบบุหรี่ เท่ โก้เก๋ เป็นสิ่งพึงรังเกียจที่ทำลายสุขภาพ ทำให้ประเทศไทยปลอดจากควันบุหรี่ ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง และโรคอื่นๆคุณหมอสงวน คุณหมอหทัย คุณหมอประกิต และคุณบังอรบุคคลเหล่านี้คือ นักขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ความสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นนโยบายที่ใหญ่มากคือ การที่ประธานรัฐสภาตั้งคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อ พ.ศ.2537 คพป.ขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปการเมือง โดยการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งเป็นเรื่องยากสุดๆหรือเป็นไปไม่ได้ในยามปกติ แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงบางมาตราแต่...การขับเคลื่อนของ คพป.ก็สำเร็จเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ซึ่งเรียกกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดโดยสรุป “นโยบายที่ดีๆ ถ้ามีการขับเคลื่อนที่ถูกต้อง สามารถนำไปสู่ความสำเร็จ และมีผลใหญ่ จึงควรใส่ใจวิธีขับเคลื่อนนโยบายสู่ความสำเร็จ” อาจารย์หมอประเวศ ย้ำว่า ถ้าพิจารณาระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอนจะเห็นว่ากระบวนการนี้ประชาชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมเป็นประชาธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม...การเมืองโดยการเลือกตั้ง เข้ามาบรรจบกันเป็นกระบวนการทางปัญญาสูงสุดของชาติ เกิดอรรถประโยชน์ใหญ่จากความสำเร็จของนโยบายที่ดีแม้ยากเพียงใดก็สำเร็จได้ด้วยกระบวนการนี้ และเมื่อคนทั้งประเทศร่วมขับเคลื่อนนโยบาย...นโยบายเป็นระบบครบวงจร คนไทยทุกคนก็จะกลายเป็นคนเก่งและคนดี รวมทั้งนักการเมืองด้วยเพราะทุกภาคส่วนลงตัว...สัมพันธ์กันในระบบ ไม่มีใครแตกแถวเข้ารกเข้าพง แม้แต่ความรุนแรงก็จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อน“การเมือง” เรื่อง “อำนาจ” จะกลายเป็นการเมืองเรื่องนโยบายและไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวคับแคบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนโยบายที่คนทั้งประเทศมีส่วนร่วม อาจจะเคยได้ยินเรื่อง “P4” หรือ “กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม” จึงเป็นทางออกจากการเมืองที่คับแคบและตีบตัน สร้างประชาธิปไตยฐานกว้างเป็นประชาธิปไตยทางปัญญา และประชาธิปไตยอรรถประโยชน์ จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยสมานฉันท์ด้วยก็ยังได้หรือเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตัวอย่างประเด็นใหญ่ประเทศไทย เช่น ประเทศไทยพ้นภัยโควิด ภายใน 1 ปี, ความเหลื่อมล้ำและการขาดความเป็นธรรม, ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ, ฐานของประเทศแข็งแรง ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง, ปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างสมรรถนะของชาติ, คุณภาพเด็ก เยาวชน และครอบครัว, ปฏิรูประบบความยุติธรรม“การเมืองอย่างที่เป็น...เป็นที่แคบ จึงบีบคั้น ตีบตันง่าย กระทบกระทั่งและขัดแย้งกันสูง ปะทุสู่ความรุนแรงง่าย แล้วยังไม่ได้ผลสัมฤทธิ์ บ้านเมืองจึงวิกฤติซ้ำซาก...ถ้าเข้าใจเรื่องโครงสร้างอำนาจ ก็จะรู้ว่าขณะนี้การเมืองตีบตันแล้ว และเสี่ยงต่อการปะทุเป็นความรุนแรง ที่ร้ายก็คือ รุนแรงแล้วก็ยังไม่ได้ผล”ทางออกคือ ออกจากที่แคบไปสู่ที่กว้าง...ทางออกจากความตีบตันทางการเมือง คือ “P4” นั่นก็คือ...“กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม”.