เป็นเวลา 23 ปีแล้ว ที่ดินแดน “เกาะฮ่องกง” ได้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมเมืองขึ้นของสหราชอาณาจักร และหวนคืนสู่อ้อมอกของพญามังกร “จีนแผ่นดินใหญ่”แต่แน่นอนการอยู่ภายใต้ร่มเงาโลกเสรีมาเป็นเวลานาน จึงเป็นเรื่องยากจะทำใจได้ เมื่อถึงเวลาต้องกลับเป็น “จีนเดียว” ไปอยู่ในกรอบกฎระเบียบของรัฐบาลทุนนิยมคอมมิวนิสต์ และไม่แปลกที่จะมีคนหลากหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน ไม่อยากให้ Status quo หรือสภาพที่เป็นอยู่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) และสภาปรึกษาการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC) การประชุม 2 สภาประจำปี เรียกกันว่าเหลียงฮุย เพื่อกำหนดทิศทางของประเทศ ได้ปิดประชุมอย่างเป็นทางการ โดยมีข้อเสนอนโยบายด้านสังคมที่น่าสนใจ อย่างการลดวัยแต่งงาน แนวทางการมีบุตรคนที่ 3 เพิ่มสัดส่วนครูผู้ชาย การแก้ปัญหาสุขภาพจิต ไปจนถึงการกำหนดแนวทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้าหมายเติบโตอย่างไรก็ตาม แผนการที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วแวดวงการเมืองโลก จากผลของการประชุมครั้งนี้ คือกฎหมาย “มาตรา 66” ที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน และจะมีผลบังคับใช้ในเวลา 23.00 น. วันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 23 ปี สหราชอาณาจักรส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนจีน ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อกันว่า จะเปลี่ยนแปลงฮ่องกงไปตลอดกาล และอาจถือเป็นจุดจบของรูปแบบการบริหาร “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ในที่สุดเริ่มตั้งแต่กำหนดให้การกระทำใดๆ ที่เข้าข่ายสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายและมีโทษจำคุกสูงสุดตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการแยกตัวเป็นอิสระ การโค่นล้มหรือบั่นทอนอำนาจของรัฐบาลกลาง การก่อการร้าย (ซึ่งคือการใช้ความรุนแรงหรือข่มขู่ต่อผู้คน) และการสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติหรืออำนาจนอกดินแดน การสร้างความเสียหายแก่ระบบขนส่งสาธารณะถือเป็นการก่อการร้าย บริษัทห้างร้านสามารถถูกปรับเงินได้หากพบว่ามีความผิดจริง และผู้ที่เคยกระทำผิดกฎหมายใดๆไม่สามารถดำรงตำแหน่งในหน่วยงานสาธารณะได้ตามด้วยการที่รัฐบาลปักกิ่งจะจัดตั้งสำนักงานความมั่นคงในเกาะฮ่องกง โดยมีอำนาจและเจ้าหน้าที่ของตัวเอง ไม่ต้องขึ้นตรงต่อหน่วยงานใดในฮ่องกง โดยสำนักงานดังกล่าวนี้ จะสามารถส่งผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้ แต่มีการชี้แจงว่าจะส่งตัวข้ามแดนในจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นส่วนรัฐบาลฮ่องกงจะจัดตั้งคณะกรรมาธิการความมั่นคงของตัวเอง เพื่อบังคับใช้ กฎหมายที่กล่าวมา โดยมีที่ปรึกษาเป็นคนที่รัฐบาลจีนแต่งตั้ง ขณะที่ผู้บริหารฮ่องกงเขตปกครองพิเศษของจีน (ณ ตอนนี้คือแคร์รี แลม) จะมีอำนาจในการเลือกผู้พิพากษามาว่าความในคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และที่สำคัญรัฐบาลจีนจะมีอำนาจในการตีความกฎหมาย ฝ่ายยุติธรรมหรือฝ่ายการเมืองของฮ่องกงไม่อาจมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ ซึ่งหากมีรายละเอียดใดๆขัดต่อกฎหมายของฮ่องกง ให้ยึดเอากฎหมายจีนเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดด้วยว่า การพิจารณาคดีบางครั้งจะจัดทำในรูปแบบปิด ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน ประชาชนที่ต้องสงสัยว่าละเมิดกฎหมาย สามารถถูกสอดแนมและดักฟังได้ สำหรับองค์กรอิสระต่างชาติและสื่อมวลชนจะถูกดูแลอย่างเข้มงวด และประเด็นที่ไม่ควรพลาด “กฎหมายถือว่ามีผลต่อผู้ที่ไม่ได้ถือครองวีซ่าพำนักถาวรในฮ่องกง รวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างแดน ที่ไม่ได้เป็นผู้พำนักถาวรในฮ่องกง” ด้วยเช่นกันด้านสำนักข่าวบีบีซี อังกฤษ อธิบายไว้ด้วยว่า ตอนสหราชอาณาจักรส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนจีนเมื่อปี 2540 ได้มีการทำข้อตกลง กำหนดรัฐธรรมนูญแก่ฮ่องกง หรือที่เรียกว่ากฎหมายพื้นฐาน รวมถึงจัดตั้งหลักการหนึ่งประเทศสองระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าชาวฮ่องกงจะได้รับ สิทธิเสรีภาพ ตามกระบวนการประชาธิปไตย จึงอาจเกิดคำถามขึ้นว่าแล้วจีนจะเข้ามาเป็นธุระกงการ จัดการทุกสิ่งอย่างแทนได้อย่างไรคำตอบคือในทางเทคนิคแล้ว สามารถทำได้ เพราะแม้ว่ากฎหมายพื้นฐานจะเขียนไว้ว่า กฎหมายจีนไม่สามารถนำมาใช้ได้ในฮ่องกงก็ตาม แต่จะมีข้อ “ยกเว้น” ในกรณีที่กฎหมายได้ถูกบรรจุอยู่ในมาตราที่เรียกว่า “ภาคผนวกที่สาม” และบังคับใช้ ในฮ่องกงได้ ด้วยการประกาศเป็นกฤษฎีกาของฝ่ายบริหาร ไม่จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาฮ่องกงแต่อย่างใดก่อนหน้านี้ ฮ่องกงได้เผชิญกับสถานการณ์ประท้วงใหญ่อย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่การประท้วงร่มเมื่อปี 2557 เพื่อต่อต้านกลไกการบริหารที่จะทำให้จีนได้สิทธิในการวีโต้ ตามด้วยเหตุชุมนุมปี 2562 ต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่จีน แต่อนิจจาการแสดงพลังทั้งหมดทั้งปวง กลับทำให้ถูกจีนใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างเสถียรภาพ และความสงบสุขเรียบร้อย เข้ามาควบคุมฮ่องกงยิ่งขึ้นเรื่อยๆฟังแล้วมาตรา 66 ที่กล่าวมานี้ ก็ทำให้นึกถึงสตาร์ วอร์ส ฉากสำคัญ จักรพรรดิพัลพาทีน กล่าวประโยคเด็ด “เอ็กซีคิว ออเดอร์ ซิกตี้ซิกซ์” ใช้คำสั่งที่ 66 กวาดล้างอัศวินเจไดให้หมดไปจากจักรวาล และนำไปสู่การจัดตั้งจักรวรรดิกาแล็คติก เริ่มยุคการปกครองด้วยความหวาดกลัวในที่สุดชะตากรรมฮ่องกงกำลังดำเนินรอยตามภาพยนตร์หรือไม่ กาลเวลาคงเป็นเครื่องพิสูจน์.วีรพจน์ อินทรพันธ์