นายวิรัตน์ มนัสสนิทวงศ์ ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อม กทม. กล่าวกรณีกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่าในช่วงระหว่างวันที่ 11-12 ก.พ.นี้ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีลมอ่อนและอากาศนิ่ง ทำให้มีการสะสมฝุ่นละอองเพิ่มขึ้นว่า กทม.ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 โดยจัดเจ้าหน้าที่ ตรวจวัดควันดำ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก และกรมควบคุมมลพิษ ตั้งจุดตรวจรถยนต์ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด จำนวน 20 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะเดียวกันได้ตรวจวัดควันดำบริเวณที่จอดรถโดยสาร รถบรรทุก และรถยนต์ปล่อยควันดำตามที่ประชาชนแจ้งเบาะแส อีกทั้งขอความร่วมมือกับ ขสมก.ตรวจวัดรถเอกชนร่วมบริการ (รถสองแถว) ที่อู่ปล่อยรถ ก่อนออกให้บริการประชาชน รวมทั้งเพิ่มความถี่การฉีดล้างใบไม้ ล้างถนนและบริเวณก่อสร้างนายคมกฤช ทินกร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) โฆษก กปน. กล่าวว่า ตามที่ กปน. ได้แจ้งสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นระลอกตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้รสชาติน้ำประปากร่อยเป็นบางช่วงเวลาในบางพื้นที่ โดยในวันที่ 10-15 กุมภาพันธ์ นี้ คาดว่าจะส่งผลยาวนานกว่าที่ผ่านมา ซึ่ง กปน.มิได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานความร่วมมือกับกรมชลประทาน และสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ในการร่วมปฏิบัติการกระแทกน้ำ กระแทกลิ่มความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อผลักดันน้ำเค็มให้ไกลจากบริเวณสถานีสูบน้ำดิบสำแลให้มากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่มีสุขภาพปกติ สามารถบริโภคน้ำประปาได้ แต่กลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคไต โรคหัวใจ โรคความดันสูง โรคเบาหวาน ผู้สูงอายุเด็กเล็ก และสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก ทั้งนี้ การนำน้ำประปาไปต้ม ไม่ได้ช่วยให้น้ำประปาหายเค็ม เนื่องจากสิ่งที่ระเหยไปคือน้ำ แต่ตัวเกลือไม่ได้ระเหยไปด้วย ดังนั้น ยิ่งทำให้น้ำมีความเค็ม หรือความกร่อยเพิ่มมากขึ้น.